November 1, 2024   7:13:12 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ความกังวลจากปัจจัยต่างประเทศ
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 07/03/2007 @ 15:24:34
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

เอาเรื่องเกี่ยวกับจีนก่อน

ในปี 2006 ดัชนี shanghai (SSEC) +158% และดัชนี Shenzhen (SZSC) +178% ในช่วงเวลาเพียง 13 เดือน หากมีข่าวร้ายที่ตลาดไม่คาดคิด เช่น เศรษฐกิจ หรือ สงคราม อาจทำให้ตลาดหุ้นที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วแตะจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ปรับฐานอย่างรุนแรงได้ ที่สำคัญเม็ดเงินที่หลั่งไหลเข้ามาลงทุนในตลาดเอเชีย เป็ดเม็ดเงินที่มีที่มา มากจากการเก็งกำไรค่าเงิน หรือที่เรียกว่า Carry Trade อธิบายความก็คือ การที่นักเก็งกำไรไปกู้ยืมเงินสกุลที่ดอกเบี้ยต่ำ เช่น สกุลเงินเยน Yen และนำเงินกู้เหล่านั้นมาลงทุนในสกุลที่ดอกเบี้ยสูงกว่าและมีแนวโน้มแข็งค่า เช่นค่าเงินต่าง ๆ ในเอเชีย คราวนี้พอสกุลเงินเยนแข็งค่าขึ้น หรือ มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ย พวกนักเก็งกำไรที่กู้มาเล่น ก็ต้องตัดสินใจคืนเงินกู้ โดยต้องขายหุ้นทั่วโลก หรือขายทองคำ หรือสินค้าโภคภัณฑ์ เพื่อเอาเงินไปแลกเป็นเงินเยน เพื่อชำระคืนเงินกู้ ทำให้เกิดการขายและถือว่าเป็นการปรับฐานราคาของตลาดหุ้น ที่รอบนี้อาจจะมีแนวโน้มรุนแรงมากกว่าปกติ แต่ที่สำคัญคงต้องใช้เวลาอีกประมาณ 1 ? 2 เดือนและตัวเลขการปรับตัวของราคา น่าจะอยู่ในราว 10 ? 20% เนื่องจากเม็ดเงินที่ลงทุนส่วนใหญ่ในตอนนี้ เป็นเงินระยะสั้นที่เก็งกำไร ทั้งตลาดหุ้นและตลาดค่าเงิน เช่น กรณีที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย ออกมาตรการสำรอง 30% เม็ดเงินไหลเข้า ตลาดทรุดลง 20% และจีนจะออกมาตรการสกัดการเก็งกำไร ตลาดทรุดลง 10%

ให้จับตาประเทศจีน กับมาตรการสกัดเก็งกำไร ที่อาจจะประกาศในช่วง 5 ? 9 มีนาคม 2550 เศรษฐกิจจีนกำลังเผชิญกับสภาพคล่องที่ล้นระบบ เม็ดเงินหลั่งไหลเข้าจีนจำนวนมากมานานหลายปี ได้กระตุ้นให้เกิดฟองสบู่ในตลาดหุ้นและสินทรัพย์อื่น ๆ ทำให้จีนพยายามออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อสกัดการนำเงินเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินหยวน ซึ่งคาดว่าทางการจีนกำลังประชุมสภานิติบัญญัติ เพื่อพิจารณาออกมาตรการต่าง ๆ ในการเก็งกำไร เช่น การขึ้นดอกเบี้ย เก็บภาษีกำไรจากตลาดหุ้น และการควบคุมการขยายสินเชื่อ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ถ้าประกาศออกมา จะกระทบตลาดหุ้นทั่วโลกเป็นโดมิโน

ก่อนจะคุยเรื่องอื่นต่อ ซึ่งผมขอยกยอดไว้พรุ่งนี้ ก็แล้วกัน ผมขอแสดงความเสียใจต่อกรณีที่ต้องงดออกอากาศ ของสถานีโทรทัศน์ไอทีวี ช่องเลข 6 ของรีโมทที่บ้านของผม เหตุการณ์นี้ทำให้ผมนึกไปถึงตอนปี 2540 ปีนั้นเป็นปีที่ 16 ไฟแนนซ์แรกโดนปิด ผมจำได้ว่าเป็นเดือนมิถุนายน โดยคำสั่งจากทางราชการ ซึ่งผลกระทบยังคงมีมาถึงปัจจุบัน สิ่งที่ผมเห็นในวงการเงินบ้านเรา คือ ตลอด 10 ปี ที่ผ่านมา ไม่มีนวัตกรรมที่ใหม่ ๆ โดน ๆ ออกมาเลย ลักษณะเหตุการณ์ของ ITV ในตอนนี้มันเหมือนกันกับช่วงปี 2540 อยู่ 3 ประการ คือ

1. เป็นคำแถลงจากนายกรัฐมนตรี และระยะเวลาที่ให้พนักงานเตรียมตัว มีเพียง 2 วัน

2. การปิดไฟแนนซ์ครั้งนั้น ไม่ได้เตรียมแผนรองรับไว้ ว่าสินทรัพย์ ลูกค้าเงินฝากหรือพนักงานประจำอย่างไร

3. ไม่มีความช่วยเหลือใด ๆ จากเพื่อน ๆ ในวงการเดียวกัน เพราะลูกค้ากำลังจะย้ายจากบริษัทที่ถูกปิด ไปหาบริษัทที่เหลือ ซึ่งจะทำให้พวกเขาอยู่รอดได้ หรือมีกำไรมากขึ้น จึงไม่มีใครช่วย แปลกดีไหม

แปลกแต่จริง ผ่านไป 10 ปี เหตุการณ์เดิมย้อนกลับมา แต่ไปเกิดที่ช่องโทรทัศน์แทน ผมในฐานะแฟน ITV และลูกค้าผมบางคนก็มีหุ้น ITV ขอให้ผู้ที่มีอำนาจทั้งหลายพิจารณาแก้ไขปัญหาอย่างรอบคอบ และปราศจากอคติ ผมจะนั่งรออีกหนึ่งเดือน



 กลับขึ้นบน
P_aud
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 531
#1 วันที่: 07/03/2007 @ 21:58:08 :
[b:11958e0296">ประเทศเรา นำหน้าจีนไปแล้วค่ะ ....

สำหรับมาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรทั้งค่าเงิน และในตลาดหุ้น...

แต่มาตรการที่ว่าก้อไม่ได้ทำให้ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพได้....

และที่แน่นอนคือตลาดหุ้นไทยทรุดไปมากมาย...... ops:

พี่น้องบ้านไทยหุ้นเรา ..หายหน้าหายตาไปหลายท่าน....

จากที่เคยเข้ามาพูดคุย ทักทาย ส่งข่าวสารถึงกัน

ก้อมีอันต้องเลิกราไป...

แม้วันนี้ จะมีการปรับครม.ใหม่ ...itv ที่กำลังจะเปลี่ยนชื่อไป ยังได้ออกอากาศ..

ก็ไม่ได้ทำให้เกิดแรงจูงใจในตลาดหุ้นเลย...

การเมืองของเราถอยหลังกลับไป ในยุคที่มีทหาร เข้ามาคุมบอร์ดบริษัทต่างๆ

สงสาร กลต. ที่มีความตั้งใจ ที่จะให้เครดิต บมจ.ในตลาดหุ้นไทย

ได้รับความเชื่อถือในตลาดโลก....แต่คงทำอะไรไม่ได้มากนักแล้ว[/color:11958e0296">[/b:11958e0296"> :cry:
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com