samjin สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 352 | วันที่: 09/03/2007 @ 00:08:46 คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่ ผลการโหวต เทรนด์เทคโอเวอร์ มาแรง สำรวจบริษัทจิ๋วแจ๋ว โดยเฉพาะใน MAI มีแนวโน้มมากสุด โดยเฉพาะกลุ่มที่ราคาในกระดานถูกกว่า BV มีถึง 9 ตัว วงการชี้ ปีนี้มีให้เห็นอีกแน่ เพราะบริษัทขนาดเล็กจำเป็นต้องเพิ่มความแข็งแกร่งในธุรกิจ-ช่องทางการแข่งขัน และขยายรายได้เพิ่ม อีกทั้งภาวะตลาดฯตอนนี้ยังเหมาะได้ของดี ราคาถูก ล่าสุด CPR เปิดตัว Kinugawa เข้ามาเป็นพันธมิตร ตามรอย S2Y - GL ที่เปิดตัวกลุ่มทุนใหม่ไปแล้วก่อนหน้า
เป็นเทรนด์ยอดฮิต และเข้ากับกระแสเหลือเกินสำหรับการเทคโอเวอร์บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ขณะนี้ เพียงแค่ 2 วันในรอบสัปดาห์นี้ก็มีข่าวบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ถึง 3 แห่งที่ถูกบริษัทต่างชาติเข้ามาซื้อหุ้นทั้งในแบบเทคโอเวอร์โดยการถือหุ้นใหญ่ หรือการเข้ามาในลักษณะแบ็คดอร์ลิสติ้ง ทั้งที่หากมองแล้วภาวะตลาดฯในขณะนี้ไม่ถือว่าอยู่ในภาวะที่น่าลงทุนเท่าไหร่ ตลาดโดยรวมทรงตัว และค่อนข้างจะซบเซาด้วยซ้ำ หากมองจากภาวะการซื้อขายที่เบาบาง แต่อย่างไรก็ตามหากมองในอีกมุมหนึ่ง สำหรับบรรดานักลงทุนขนาดใหญ่ กลุ่มบริษัทต่างชาติ ช่วงจังหวะนี้อาจเป็นช่วงที่เหมาะกับการเข้าลงทุนที่สุด เนื่องจากราคาหุ้นกำลังถูกแสนถูก การฉวยโอกาสเข้ามาซื้อหุ้นบริษัทใดบริษัทหนึ่ง หรือเทคโอเวอร์บริษัทใดนั้นทำได้ง่าย เพราะใช้เงินลงทุนไม่มาก เพียงแค่เลือกบริษัทที่มีพื้นฐานดี แนวโน้มธุรกิจมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก กลุ่มผู้ถือหุ้นน่าเชื่อถือ มีธรรมาภิบาลอยู่ในเกณฑ์ดี ก็น่าลงทุนแล้วในตอนนี้
ขณะที่เมื่อพิจารณาจากพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศแล้ว ก็ยังมีแนวโน้มที่ยังเติบโตอีก แม้ว่าล่าสุดทั้งกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะพร้อมใจกันปรับประมาณการจีดีพีปีนี้ลงเหลือประมาณ 4-4.5% แต่ภาพรวมของเศรษฐกิจก็ยังไม่ถึงกับเลวร้าย อีกทั้งในส่วนของผู้ประกอบการเอง ความเสี่ยงจากการภาวะเศรษฐกิจที่สัญญาณการเติบโตไม่มากนัก การบริโภคภาครัฐ เอกชนที่ไม่น่าจะขยายตัวมากเช่นกันในปีนี้ บวกกับสภาพการแข่งขันที่รุนแรงของแต่ละธุรกิจที่ยากลำบากมากขึ้น ไหนจะต้นทุนการดำเนินการที่สูงขึ้นอีก ทำให้บริษัทเอกชนก็จำเป็นต้องดิ้นและหาทางเพื่อความอยู่รอดของตัวเองให้ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อมีพันธมิตร หรือบริษัทต่างชาติยื่นข้อเสนอเข้ามา ก็ไม่น่าปฏิเสธ เนื่องจากหากได้ผู้ถือหุ้นใหม่ที่มีศักยภาพ มีเงินทุน มาเทคโนโลยีที่สามารถเกื้อหนุนบริษัทได้ ก็ยิ่งน่ายินดีที่รับไว้ เพราะไม่มีอะไรเสียหาย ได้เงินทุน ได้พันธมิตรมาเพิ่มความแข็ง และช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้ถือหุ้น แถมข่าวประเภทนี้ยังทำให้ราคาหุ้นในกระดานพลอยรับอานิสงส์ไปด้วย
โดยในช่วง 2 วันที่ผ่านมานั้น บมจ. สยามทูยู (S2Y) ประกาศเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทจาก 40,931,510 บาท เป็น 487,271,510 บาท โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 446,340,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้น ละ 1.00 บาท รวม 446,340,000 บาท โดยจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 446,340,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท รวม 446,340,000 บาท แก่ 1.บริษัท เนซู แคปปิตอล จำนวน 175,708,154 หุ้น, 2. บริษัท คูดู จำกัด จำนวน 113,458,184 หุ้น, 3.บริษัท สฟิงซ์ แคปปิตอล 70,602,152 หุ้น, 4. นายไซมอน จีโรวิช จำนวน 59,549,533 หุ้น และ 5.บริษัท เอ็ม อาร์ แอสเซส คอร์ปอเรชั่น จำกัด จำนวน 27,021,977 หุ้น ซึ่งการเพิ่มทุนครั้งนี้ เพราะบริษัทฯ มีผลประกอบการขาดทุนจากการประกอบธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศประเภทต่างๆ ในปัจจุบัน โดยเห็นได้จากกำไรสุทธิที่ลดลงจาก 26.31 ล้านบาทในปี 2547 เป็น 2.99 ล้านบาทในปี 2548 และมีผลขาดทุนสุทธิ 23.67 ล้านบาทในปี 2549 ที่ผ่านมา เนื่องมาจากสภาวะการแข่งขันอย่างรุนแรงในอุตสาหกรรม ทั้งจากผู้ประกอบการเดิมและคู่แข่งรายใหม่ ดังนั้นหากบริษัทยังไม่ดำเนินการใดๆ ต่อไป อาจมี แนวโน้มว่าบริษัทจะมีผลประกอบการขาดทุนต่อไปในอนาคต จนอาจทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นลบได้ในที่สุด เพราะจึงได้เริ่มมองหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆ จนเห็นว่าการลงทุนในสินทรัพย์ ดังต่อไปนี้ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ น่าจะสามารถสร้างรายได้และผลตอบแทนที่ดีและยั่งยืนให้แก่บริษัทได้ในอนาคต รวมทั้งจะทำให้บริษัทมีสินทรัพย์ที่มีตัวตนในสัดส่วนที่สูงขึ้นเป็นอย่างมากในทันที
นอกจาก S2Y แล้วในวันเดียวกันนั้น บริษัท เอ.พี.เอฟ. แมเนจเม้นท์ จำกัด (ผู้ประกาศเจตนา) ก็ได้ยื่นประกาศเจตนา วันที่ 6 มี.ค.2550 จะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของ บมจ. กรุ๊ปลีส (GL)โดยจะเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการจำนวน 28,340,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดในประเภท 62.98% ราคาที่คาดว่าจะเสนอซื้อ 11.25 บาทต่อหุ้น มูลค่าที่เสนอซื้อ 318,825,000 บาท ซึ่งเอ.พี.เอฟ. แมเนจเม้นท์ ประกาศขอเทนเดอร์ฯ GL ที่เหลือทั้งหมด 62.98% หุ้นละ 11.25 บาท ส่งผลให้กลุ่มบริษัทจากญี่ปุ่นเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ หลังจากก่อนหน้านั้นรับซื้อหุ้นทั้งหมดจาก นายขรรค์ชัย บุนปาน 28.42%
|
samjin สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 352 | #1 วันที่: 09/03/2007 @ 00:10:00 : CPR เดินตามรอย S2Y-GL หลัง Kinugawa Rubber Industrial เข้าซื้อหุ้น
เมื่อวานนี้ บริษัทล่าสุดที่มีนักลงทุนต่างประเทศ เข้ามาซื้อหุ้น ก็คือ บมจ.ซีพีอาร์ โกมุ อินดัสเตรียล โดยมี Kinugawa Rubber Industrial แจ้งความประสงค์จะเข้าซื้อหุ้นของ CPR จำนวนไม่เกิน 97,510,000 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 49 ราคาหุ้นละ 2.10 บาท ซึ่งพันธมิตรใหม่จะส่งกรรมการเข้าร่วมทำงาน 5 คน โดยบริษัทแจ้งว่า เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2550 มีมติเป็นเอกฉันท์อนุมัติการทำคำเสนอซื้อหุ้นบางส่วนของ KinugawaRubber Industrial Co., Ltd.
ทั้งนี้ ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า Kinugawa Rubber Industrial Co., Ltd. (Kinugawa) ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนจัดตั้งตามกฎหมายของประเทศญี่ปุ่น มีความประสงค์จะเข้าซื้อหุ้นของบริษัทโดยการทำคำเสนอซื้อหุ้นบางส่วนต่อผู้ถือหุ้นทุกรายของบริษัทตามหลักเกณฑ์ และขั้นตอนของประกาศคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 53/2545 เรื่องหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ ลงวันที่ 18 พฤศจิกายน 2545 (ประกาศฯ) ในจำนวนไม่เกิน 97,510,000 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 49 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัท ในราคาเสนอซื้อหุ้นละ 2.10 บาท ในกรณีที่มี ผู้แสดงเจตนาขายหุ้นมากกว่าจำนวนสูงสุดที่ Kinugawa เสนอซื้อ Kinugawa จะจัดสรรตามสัดส่วนของจำนวนหุ้นที่มีผู้แสดงเจตนาขาย (pro-rate)
นอกจากนี้ ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า หากที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติเห็นชอบการทำคำเสนอซื้อหุ้นบางส่วนจะดำเนินการยื่นคำขอผ่อนผันทำคำเสนอซื้อหุ้นบางส่วนโดยได้รับยกเว้นไม่ต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัทในภายหลังต่อสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. และเมื่อคณะกรรมการ ก.ล.ต. พิจารณาอนุมัติการคำขอผ่อนผันทำคำเสนอซื้อหุ้นบางส่วนดังกล่าว Kinugawa จะดำเนินการ ทำคำเสนอซื้อหุ้นบางส่วนของบริษัท ภายในระยะเวลาที่สำนักงาน คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์กำหนดดังนั้น ประธานฯ จึงได้เสนอให้ที่ประชุมพิจารณาและอนุมัติการทำคำเสนอซื้อหุ้นบางส่วนของ Kinugawa และนำเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป
*บิ๊กCPR ระบุพันธมิตรใหม่ท หวังใช้เป็นฐานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์
นายนพดล วณิชวิศิษฎ์กุล กรรมการผู้จัดการ บมจ.ซีพีอาร์ โกมุ อินดัสเตรียล (CPR) กล่าวกับ eFinanceThai.com ว่า Kinugawa Rubberฯ ต้องการเข้ามาซื้อหุ้น เพราะต้องการใช้เป็นฐานในการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์เพื่อจำหน่ายในต่างประเทศโดยเฉพาะแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ผ่านมา CPR ก็มีการซื้อ KNOW HOW จากกลุ่มทุนใหม่ และเคยร่วมทุนเพื่อทำสิ้นส่วนรถยนต์ที่เป็นขอบประตูและขอบกระจกมาแล้ว
รู้จักนิสัยใจคอกัน ติดต่อกันมาเป็น 10 ปีแล้ว เขาขาย KNOW HOW ให้ CPR และร่วมทุนทำขอบประตูและขอบกระจก ซึ่งการที่ขายให้ผู้ร่วมทุนจะบอกว่าไม่สนใจเรื่องเงินก็ไม่ใช่ แต่ก็มีนักลงทุนหลายที่สนใจเข้ามาร่วมทุนกับเรา แต่มีข้อแม้ว่านอกจากเรื่องเงินเราจะได้อะไรอีกบ้าง เช่นการตลาด เทคโนโลยีหากไม่มีก็ไม่ต้องมาคุย ต้องสร้างความเจริญให้บริษัทฯ นายนพดล กล่าว
เขากล่าวว่า กลุ่มทุนรายใหม่จากญี่ปุ่นจะเข้ามาธุรกิจธุรกิจของ CPR ในทุกด้าน ทั้งเรื่องของเทคโนโลยี การตลาด การเงิน และความชำนาญในการผลิต ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ CPR มีการเติบโตที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน โดยแนวทางการบริหารก็คงผสมทั้งของไทยและญี่ปุ่น
สำหรับในส่วนของการทำคำเสนอซื้อนั้น บริษัทฯจะทำคำเสนอซื้อกับนักลงทุนที่ถือหุ้น CPR อยู่ โดยผู้ถือหุ้นรายใหญ่พร้อมที่จะขายหุ้นให้กับทาง Kinugawa Rubber Industrial Co., Ltd.หากนักลงทุนรายย่อยนำหุ้นออกมาขายให้ไม่ครบตามจำนวนที่ต้องการคือ 49% แต่หากนักลงทุนรายย่อยไม่มีการขายหุ้นออกมาทางผู้ถือหุ้นรายใหญ่ก็พร้อมที่จะนำหุ้นออกมาขายให้กับ Kinugawa Rubber เพื่อให้ครบ 49% ตามที่ต้องการ จากที่ถือรวมกันทั้งหมด 64% แต่บริษัทฯไม่มีความกังวลแม้ว่าสัดส่วนการถือหุ้นจะลดลงไปและกลุ่มทุนรายใหม่จะเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เพราะมีจุดประสงค์ต้องการให้บริษัทที่การเติบโตและมีศักยภาพสามารถแข่งขันได้
Kinugawa Rubberฯ เป็นบริษัทในเครือนิสัน ที่มี เรโน นิสัน เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และเป็นบริษัทที่เข้าเคยมาเทกโอเวอร์สยามกลกาลในประเทศไทยด้วย โดยมียอดขายปีละกว่า 20,000 ล้านบาท
* โบรกฯ ฟันธงเทรนเทคโอเวอร์ปีนี้ มาแรงแน่
แหล่งข่าวจากวงการโบรกเกอร์ เปิดเผยว่า ขณะนี้แนวโน้มการเทคโอเวอร์บริษัทจดทะเบียนเริ่มมีมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทฯที่จดทะเบียนอยู่ใน MAI เพราะราคาหุ้นไม่แพงนัก และหลายบริษัทมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มบริษัทที่ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (BV) ซึ่งมีราคาถูกมาก ก็ถือว่าน่าดึงดูดใจให้กับผู้ที่เข้ามาลงทุน ยิ่งหากมีการขายหุ้นให้ในราคาที่ถูกก็ยิ่งทำให้ผู้ถือหุ้นใหม่ ได้รับอานิสงส์จากราคาหุ้นที่มีโอกาสปรับขึ้นอีกในอนาคต หากสามารถบริหารธุรกิจได้ดี และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทในอนาคตได้ ประกอบกับภาวะตลาดฯ ในช่วงนี้ ที่เหมาะอย่างยิ่งที่เข้ามาช็อปปิ้งของดีราคาถูก ก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะเห็นบริษัทอีกหลายแห่งถูกเทคโอเวอร์มากขึ้นไปอีก
" ตอนนี้ต่างชาติมองว่าหุ้นของเราถูก บริษัทขนาดเล็กหลายแห่งเองก็มีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้ บางแห่งเล็กแต่พื้นฐานดี หรือมีอนาคตที่จะเติบโตได้อีก ซึ่งนักลงทุนที่เข้ามาก็คงมองเห็นโอกาสนั้น จึงเข้ามาถือหุ้น เชื่อว่าภายในไตรมาสแรกเราคงเห็นอีกหลายบริษัทที่จะถูกเข้ามาเทคโอเวอร์"
ด้านแหล่งข่าวจากวงการวาณิชธนกิจ เปิดเผยว่า สาเหตุที่หลายบริษัทมีการดึงพันธมิตรเข้ามาร่วมดำเนินธุรกิจในช่วงนี้ เพื่อต้องการดึงนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาเสริมกำลังการผลิต และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยเฉพาะบริษัทขนาดกลางหลายแห่งจะมีการดึงพันธมิตรเข้ามาร่วมงานเป็นจำนวนมากในช่วงนี้
อย่างไรก็ดี ช่วงนี้อาจจะเห็นกลุ่มทุนญี่ปุ่นเข้ามาเทคโอเวอร์บริษัทไทยหลายแห่งไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ เพราะในช่วงที่ผ่านมากลุ่มทุนญี่ปุ่นหลายกลุ่มก็ใส่เงินลงทุนผ่านบริษัทย่อยหลายในไทยเข้ามาเพิ่ม เพียงแต่ไม่เป็นข่าวเด่นดัง ซึ่งหลายธุรกิจในประเทศไทยทางกลุ่มทุนของญี่ปุ่นจะเข้ามาร่วมเป็นพันธมิตร ทั้ง ธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ และเทคโนโลยีต่างๆ เพราะค่าแรงในประเทศไทยราคาถูก
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน กล่าวว่า ในอนาคตการเข้ามาเทกโอเวอร์รวมทั้งควบรวมกิจการบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทสไทย (ตลท.) มีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลักและกระจายความเสี่ยง ตลอดจนขยายช่องทางเพิ่มรายได้อีกด้วยและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันอีกด้วย
" ก็คิดว่าน่าจะใช่นะในอนาคตการเทกโอเวอร์คงจะเพิ่มมากขึ้นและคงจะเป็นเทรน ซึ่งดูได้จากช่วงที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็น S2Y CPR และ GL ส่วนการเทกโอเวอร์จะเกิดขึ้นเฉพาะบริษัทที่จดทะเบียนในตลาด MAI ไหมมองว่าไม่น่าจะใช่ ถ้ามีโอกาสทุกบริษัทไม่ว่าจะเป็นใน SET ก็คงต้องการมีคนเข้ามาช่วยเหลือหรือเอื้อประโยชน์ทางธุรกิจทั้งนั้น เพื่อการเติบโตที่ดีรวมทั้งโอกาสในการต่อยอดทางธุรกิจด้วย " นายชัย กล่าว
แต่ไม่แนะนำให้เข้าไปลงทุนในหุ้นของบริษัท สยามทูยู จำกัด (มหาชน) หรือ S2Y,บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL และบริษัท ซีพีอาร์ โกมุ อินดัสเตรียล จำกัด (มหาชน) หรือ CPR ที่จะมีพันธมิตรรายใหม่เข้าร่วมลงทุน เนื่องจากยังคงมีความเสี่ยง เกี่ยวกับกรณีที่หลังจากพันธมิตรเข้ามาแล้วอนาคตของบริษัทฯ จะเป็นอย่างไร รวมทั้งราคาที่ทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์มีความเหมาะสมหรือไม่ อย่างไรก็ตามยังให้แนวรับทางเทคนิคของหุ้น CPR ไว้ที่ 1.60 บาท ให้แนวต้านไว้ที่ 2.10 บาท ส่วน S2Y ให้แนวรับไว้ที่ 1.30 บาท และให้แนวต้านไว้ที่ 1.50 บาท ในขณะที่ GL ให้แนวรับไว้ที่ 10.50 บาท และให้แนวต้านไว้ที่ 12 บาท
*บล.เคทีบี ชี้ บจ.ในMAI ถูกเทกฯเพราะราคาหุ้นในกระดานถูก
นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีบี กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่ในอนาคตบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ MAI จะถูกเทกโอเวอร์ เพราะเป็นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันรวมทั้งขยายช่องทางในการดำเนินธุรกิจอีกด้วย ส่วนสาเหตุที่ทำให้หุ้นในตลาด MAI ถูกเทกโอเวอร์มากที่สุด เนื่องจากราคาหุ้นในกระดานค่อนข้างถูก ซึ่งง่ายต่อการเข้าไปลงทุน
" ถ้าถามว่าบริษัทไหนในตลาด MAI มีโอกาสโดนเทกโอเวอร์มากที่สุด คงจะบอกไม่ได้ เพราะคงจะต้องไปนั่งไล่ดูทีละบริษัทฯ แต่ถ้าให้พิจารณาในเบื้องต้นแล้วจะพบว่าบริษัทที่เข้าข่ายถูกเทกโอเวอร์น่าจะเป็นบริษัทฯ ขนาดเล็ก มีแต่เงินสดการดำเนินงานไม่ค่อยดี ซึ่งก็จะต้องมีพันธมิตรเข้ามาเพื่อความอยู่รอด " นางสาวสุภากร กล่าว
*สำรวจ 43 บจ.ใน MAI มีราคาหุ้นในกระดานต่ำกว่าBV 9 บริษัท
ทั้งนี้ eFinanceThai.com ได้รวบรวมมูลค่าทางบัญชีเปรียบเทียบกับราคาปิดของหุ้นเมื่อวานนี้(8 มี.ค.) ของบริษัทใน MAI จำนวน 43 บริษัทที่อาจมีแนวโน้มถูกเทคโอเวอร์ในอนาคต ที่มีหลายบริษัทยังมีราคาหุ้นในกระดานต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชีค่อนข้างมาก และน่าจะเป็นโอกาสให้ถูกเทคโอเวอร์ได้เหมือนกัน เพราะ S2Y ก็เข้าข่ายมีราคาหุ้นในกระดานต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชี โดยหุ้นในกลุ่มนี้ที่มีราคาในกระดานต่ำกว่า BV ประกอบด้วย BROCK - CHUO - DM - KASET-LVT - MACO - STAR -TAPAC และ YUASA
ตารางหลักทรัพย์ในตลาด MAI
ชื่อหุ้น มูลค่าหุ้นตามบัญชี (บาท/หุ้น) ราคาปิด (8 มี.ค.50)
ACAP 3.05 5.60
BOL 2.47 6.00
BROCK 5.72 4.92
BROOK 0.49 0.97
CHUO 15.49 11.30
CIG 1.67 2.16
CMO 2.06 2.46
CPR 1.63 1.93
DEMCO 1.91 3.02
DM 7.48 7.10
ETG 2.24 5.05
FOCUS 1.39 2.50
GFM 4.83 -
ILINK 4.09 9.30
IRCP 5.28 13.60
KASET 1.09 1.02
L&E 14.40 18.00
LVT 1.61 1.44
MACO 3.55 3.34
MBAX - 4.70
PD 3.57 -
PICO 2.67 3.68
PPM 2.93 5.65
PR124 3.22 5.70
PYLON 1.66 2.00
RK 0.32 2.20
S2Y 2.29 1.45
SALEE 2.39 2.76
SLC 2.03 2.78
STAR 1.68 1.58
STEEL 2.02 3.10
SWC 2.05 3.60
TAPAC 1.94 1.57
TIES 2.71 2.74
TMW 20.21 -
TNH 1.71 8.15
TPAC 2.75 3.32
TRC 1.65 2.76
TRT 3.97 4.76
UEC 7.14 15.10
UKEM 1.55 2.00
UMS 6.27 16.80
YUASA 3.23 2.36
ที่มา : eFinanceThai.com รวบรวม
[/color:def822d673"> |