kaisel สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 3,380 | วันที่: 09/03/2007 @ 09:05:35 คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่ ผลการโหวต หากสำรวจบทวิเคราะห์จากโบรกเกอร์ต่างๆ ซึ่งทำหน้าที่แนะนำให้นักลงทุนซื้อขายหุ้นจะพบว่า หุ้นกลุ่มพลังงานยังเป็นหุ้นอันดับแรกที่โบรกเกอร์แนะนำให้นักลงทุนเพิ่มน้ำหนักในการลงทุนตลอดเวลา ซึ่งเป็นผลมาจากหุ้นกลุ่มนี้มีอัตราการเติบโตอย่างสม่ำเสมอ และมีการจ่ายเงินปันผลเป็นจำนวนมากทุกปี
ประกอบกับตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการจัดทำข้อมูล และเรียงลำดับผลการดำเนินงานตามกลุ่มที่มีกำไรสุทธิสูงสุด ในปี 2549 ก็พบว่า หุ้นกลุ่มทรัพยากร ซึ่งประกอบด้วย หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค 20 บริษัท และหมวดเหมืองแร่ 1 บริษัท รวม 21 บริษัท เป็นกลุ่มหุ้นที่ทำกำไรได้มากสุด
แม้ผลกำไรในปี 2549 จะทำได้แค่เพียง 177,891 ล้านบาท ลดลงจากปี 2548เท่ากับ 46,596 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 21 แต่ถ้าไม่นับรวมกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัทจดทะเบียนในหมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภคในปี2548 จำนวน 46,393 ล้านบาท ผลประกอบการของกลุ่มทรัพยากรในปี 2549 จะลดลงจากปีก่อนเพียงร้อยละ0.1
นั่นแสดงว่า หุ้นกลุ่มทรัพยากร ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบต่างๆ น้อยสุด และเป็นหุ้นที่เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว เพราะอัตราการเติบโตยอดขายในปีที่แล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 23
เมื่อมีการสำรวจและจัดอันดับผลการดำเนินงานหุ้นกลุ่มดังกล่าว โดยใช้การเปลี่ยนแปลงของกำไรต่อหุ้นสูงสุดเป็นเกณฑ์พบว่า หุ้นที่มีกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น มีทั้งหมด 9 ตัว ได้แก่[b:c8b91b6c0e">PDI, EGCOMP,GLOW,SCG,PTTEP,LANNA,PTT,BAFS,และRATCH และหุ้นที่กำไรต่อหุ้นไม่เปลี่ยนแปลง 1 แห่ง คือ EASTW[/b:c8b91b6c0e">
ขณะเดียวกันก็มีหุ้นที่มีกำไรต่อหุ้นลดลงอยู่ด้วยกัน 12 ตัว โดยแบ่งออกเป็นหุ้นที่มีกำไรต่อหุ้นลดลง 9 ตัว ประกอบด้วย [b:c8b91b6c0e">TOP,AKR,BANPU,RRC,RPC,SOLAR,AI,BCP,IRPCและอีก 2 ตัว เป็นหุ้นที่ขาดทุนต่อหุ้นซึ่งได้แก่ หุ้นPICNI และ SUSCO[/b:c8b91b6c0e">
สำหรับหุ้นที่มีกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่ ล้วนเป็นหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติ และนักลงทุนทั่วไปให้ความสนใจ เนื่องจากเป็นหุ้นพื้นฐานดี และในอนาคตสามารถทำกำไรได้ต่อเนื่องนอกจากนี้บริษัทที่มีกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นสูง ยังแสดงให้เห็นว่าการให้ผลตอบแทนในรูปเงินปันผลกับผู้ถือหุ้นอาจอยู่ในระดับสูงเช่นกัน
ในขณะเดียวกันเป็นที่น่าสนใจว่าหุ้นที่มีกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นสูงสุดในกลุ่มทรัพยากรปี 2549กลับเป็นหุ้นในหมวดเหมืองแร่ ที่สามารถทำกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นได้มากที่สุด แม้จะเป็นเพียงหุ้นรายเดียวของหมวดนี้ก็ตาม
โดยหุ้น PDI หรือ บริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ทำกำไรเพิ่มขึ้น 1,765.33 ล้านบาท จากงวดเดียวกันปี 2548 อยู่ที่ 561.34 ล้านบาท กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น214.92% มาที่ 7.81 บาท จากงวดเดียวกันของปี 2548 อยู่ที่ 2.48 บาท ปัจจัยหลักที่ทำให้ผลกำไรเติบโตอย่างโดดเด่นมาจากราคาจำหน่ายสังกะสีที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากในปีที่ผ่านมา
ตามมาด้วยอันดับ 2 คือ EGCOMP หรือ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 6,035.82 ล้านบาท จากงวดเดียวกันชองปีก่อนอยู่ที่ 4,092.51 ล้านบาทกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น47.30% มาที่ 11.46 บาท จากงวดเดียวกันของปี 2548 อยู่ที่ 7.78 บาท
เนื่องจากกลุ่มธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระเอกชน (IPP) ที่มีกำไรดีขึ้น จาก 4,208ล้านบาท ในปี 2548 เป็น4,928 ล้านบาท ในปี 2549 ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้ค่าไฟที่เพิ่มขึ้นของทั้งโรงไฟฟ้าขนอมและโรงไฟฟ้าระยอง ซึ่งเป็นไปตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับ บมจ. กฟผ. (EGAT)
อันดับ 3 GLOW หรือ บริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 5,596.39 ล้านบาทจากเดิม 3,865.85 บาท ส่วนกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 42.38% มาที่ 3.83บาท จากงวดเดียวกันของปี 2548 อยู่ที่ 2.69 บาท เป็นผลมาจากรายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็น25,258.13 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 20,731.73 ล้านบาท
สำหรับเรื่องการประมูลไอพีพีรอบใหม่ รวมถึงแผนการขยายระบบพลังงานความร้อนร่วมของ GLOWเห็นว่ามีความมั่นใจลดลงเกี่ยวกับการขยายไอพีพีเนื่องจากมีประเด็นการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องมาก และโรงไฟฟ้าถ่านหินอาจไม่ได้ถูกกำหนดเป็นทางเลือกในแผนครั้งนี้ จากประเด็นสิ่งแวดล้อมในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด
อันดับ 4 SCG หรือ บริษัท สหโคเจน (ชลบุรี) จำกัด (มหาชน) กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 368.02 ล้านบาทจากงวดเดียวกันปี 2548 อยู่ที่ 312.90 ล้านบาท กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 18.18% มาที่ 0.39 บาท จากเดิมอยู่ที่0.33 บาท เนื่องจากรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 2,825.14 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปี 2548 อยู่ที่ 2,409.16 ล้านบาท
ทั้งนี้แม้หุ้นโรงไฟฟ้าจะมีกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นในอันดับต้นๆตาราง แต่หุ้นกลุ่มนี้ก็ยังมีความเสี่ยง ในการลงทุนโดยเฉพาะหุ้นโรงฟ้าถ่านหิน ซึ่งจะมีผลในเรื่องการประมูล IPPรอบใหม่ช่วงเดือนมี.ค.-เม.ย. เพราะคาดว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินอาจไม่ได้ถูกกำหนดเป็นทางเลือกในแผนครั้งนี้
เนื่องจากมีกระแสการต่อต้านการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินก่อนหน้านี้ แต่อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ก็คงต้องรอความชัดเจนจากรัฐบาลว่าจะกำหนดแผนงานครั้งนี้อย่างไรเท่านั้น
ด้าน PTTEP มาอยู่อันดับ 5 โดยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 28,047.27 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปี2548 อยู่ที่23,734.69 ล้านบาท เป็นผลมาจากราคาจำหน่ายและปริมาณการจำหน่ายปิโตรเลียมที่เพิ่มขึ้นมาก โดยราคาจำหน่ายปิโตรเลียมเฉลี่ยเพิ่มขึ้นถึง 24%เป็น 36.52 เหรียญ/บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ จาก 29.37 เหรียญ/บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบในปี 2548
ส่วนทางด้านบริษัทกำไรต่อหุ้นลดลงส่วนใหญ่ล้วนได้รับผลกระทบจากปัจจัยหลายอย่างเนื่องจากการความผันผวนของราคาของผลิตภัณฑ์น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และปิโตรเคมี ตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่อยู่ในระดับสูง
ซึ่งเห็นได้จากหุ้น TOP หรือ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)อยู่ที่อันดับ 11 นับว่าได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ชัดเจน โดยมีกำไรสุทธิลดลงเป็น 16,595.03 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปี2548อยู่ที่ 18,753.11 บาท กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 11.53% มาที่ 8.13บาท จากงวดเดียวกันของปี 2548อยู่ที่ 9.19 บาท
เนื่องจากจากค่าการกลั่นที่ลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง ของปี 2549 โดยเฉลี่ยปี 2549อยู่ที่ระดับ 4.96 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลลดลงจากปีก่อน1.66 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลซึ่งถือเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ TOP กำไรลดลง
ในขณะเดียวกันที่หุ้นขาดทุนต่อหุ้นอย่าง PICNI และ SUSCO ล้วนแต่เป็นหุ้นที่ประสบปัญหาทางด้านการเงินอย่างหนัก เห็นได้จาการขาดทุนภายบริษัทอย่างเรื้อรัง นอกจากนี้บริษัท SUSCO หรือ บริษัท สยามสหบริการ จำกัด (มหาชน) ถือเป็นหุ้นที่มีผลการดำเนินงานลดลงมากที่สุดของกลุ่ม โดยผลการดำเนินงานปี 2549 ขาดทุนเป็น 27.37 ล้านบาทจากงวดเดียวกันของปี 2548 มีกำไรสุทธิ71.10 ล้านบาท ขาดทุนต่อหุ้น 0.02 บาท จากงวดเดียวกันปี 2548 มีกำไรต่อหุ้น 0.06 บาท
เนื่องจากกำไรขั้นต้นจากการขายน้ำมันได้ลดลงจำนวน108.67 ล้านบาท หรือลดลง31.37% เพราะการกำหนดราคาขายปลีกน้ำมันหน้าสถานีบริการของผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ ไม่สอดคล้องกับต้นทุนน้ำมันทีเปลี่ยนแปลง ทำให้ค่าการตลาดเฉลี่ยต่อลิตรลดต่ำลงอย่างมาก
ทั้งนี้หากสังเกตผลการดำเนินงานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นยังพบว่า กลุ่มปตท.ในฐานะผู้ค้านำมันรายใหญ่ของประเทศ แม้จะไม่สามารถปรับตัวขึ้นมาอยู่ต้นตาราง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากธุรกิจโรงกลั่น ทำให้กำไรสุทธิรวมของกลุ่มมีกำไรสุทธิลดลงเป็น1.5 แสนล้านบาทคิดเป็นลดลง 18.57% จากงวดเดียวกันของปีก่อน 2548 มีกำไรสุทธิ 1.84 แสนล้านบาทแต่หากเทียบเงินปันผลของหุ้นกลุ่มนี้ถือว่าเป็นกลุ่มที่น่าลงทุนมากที่สุด
โดยเฉพาะหุ้นแม่ PTT แม้กำไรต่อหุ้นจะอยู่อันดับ 6 แต่รายได้รวมยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2549 มีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 1.21 ล้านล้านบาท จากงวดเดียวกันของปี 2548 อยู่ที่ 9.6 แสนล้านบาท นอกจากนี้มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 95,260.60 ล้านบาท จากงวดเดียวกันปี 2548 อยู่ที่ 85,521.29 ล้านบาท ส่วนเรื่องการฟ้องร้องการแปรรูปเรื่องนี้ยังไม่ชัดเจน เพราะต้องรอการตัดสินจากศาลที่คาดว่าชัดเจนประมาณเดือนมิ.ย.-ก.ค.
[/color:c8b91b6c0e">
|