November 1, 2024   7:00:38 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > กระซิบหน้าจอ
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 09/03/2007 @ 11:19:55
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

SET Index วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม 2550 ปิดที่ดัชนี 671.98จุด +1.61 จุด มูลค่าการซื้อขาย 6,808 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 500.90 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 13.85 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 614.75 ล้านบาท SET Index ทำ High ที่ระดับ 672.84 จุด
+2.47จุด และ Low ที่ระดับ 671.03 จุด +0.66 จุด วานนี้ตลาดสหรัฐมีแรงขายดัชนีปิดปรับตัวลดลง แต่ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านในภูมิภาคเดินสวนทางเป็นบวก ส่งผลให้ดัชนี SET Index แกว่งตัวในกรอบแคบ ๆ ของแดนบวกได้เหมือนกันด้วยวอลุ่มซื้อขายเพียงน้อยนิด (อีกแล้ว) ปิดตลาดครึ่งวันเช้ามีมูลค่าการซื้อขายรวมแค่ 2,605 ล้านบาท สภาวะของตลาดหุ้นบ้านเรานั้นยังคงดำเนินไปโดยไร้ทิศทางและยังคงไร้ซึ่งวี่แววของปัจจัยบวกที่จะมากระตุ้นให้ดัชนีปรับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่ว่าตลาดเมื่อวานหุ้นพลังงานพอมีแรงที่จะช่วยพยุงตลาดไว้ ต้านกับแรงขายหุ้นพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และหุ้นแบงค์ที่มีแรงขาย ส่วนทางด้านการเมืองนั้นนายกรัฐมนตรีก็ออกมาแสดงความมั่นใจถึงผู้ที่เข้ามานั่งเก้าอี้ตำแหน่งรองนายกฯ และรมว.อุตฯ รวมถึงเก้าอี้ของ รมว.คลัง คนใหม่ ว่าจะทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลมากขึ้นคงจะทำให้ชัดเจนขึ้น

MINT ราคาเปิดที่ 10.70 บาท ราคาปิดที่ 10.70 บาท มูลค่าการซื้อขาย 9.21 ล้านบาท MINT ประกาศผลประกอบการ 4Q49 กำไรสุทธิ 1,280 ล้านบาท ซึ่งการเติบโตดังกล่าวบริษัทจะใช้กลยุทธ์ Asset ? Light ที่เป็นการกระจายแหล่งที่มาของรายได้ โดยเฉพาะธุกิจโรงแรมที่มีรายได้จากค่าธรรมเนียมการเข้าบริการจัดการธุรกิจโรงแรม และรุกตลาดธุรกิจที่พักอาศัยระดับสูงมากขึ้น นอกจากนี้ MINT มีงบลงทุนระหว่างปี 2550 ? 2553 ทั้งนี้การลงทุนดังกล่าวเป็นการลงทุนในโครงการต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตรากำไรให้กับบริษัทมากขึ้น อย่างไรก็ตามยังมีมุมมองที่เป็นบวกต่อ MINT ในการเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2550 ทั้งจากธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหาร โดยบริษัทจะมีการเปิดโรงแรมใหม่ 2 แห่งในสมุยและมัลดีฟ จะส่งผลให้จำนวนห้องพักเพิ่มขึ้น ซึ่งโรงแรมในสมุยเป็นโรงแรมระดับ 6 ดาว ส่วนโรงแรมในมัลดีฟเปิดให้บริการแล้วในเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา ส่วนการขยายตัวของธุรกิจอาหารนั้น คาดว่า MINT จะสามารถขยายสาขาได้ทั้งที่เป็นเจ้าของเองและเป็นแฟรนด์ไชส์ ดังนั้น K.KRAZIP เห็นว่า MINT เป็นบริษัทที่สามารถกระจายความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ณ ราคาหุ้นปัจจุบันยังมีแนวโน้มปรับขึ้นได้ หลังจากมีการพักฐานต่อเนื่อง แนะนำ "ซื้อ" โดยมีแนวรับที่ 10.60 บาท แนวต้านที่ 11.00 บาท

PTTCH ราคาเปิด 77.50 บาท ราคาปิด 78 บาท มูลค่าการซื้อขาย 26.01 ล้านบาท ในปี 2550 ภาวะตลาดปิโตรเคมียังคงแข็งแกร่งจากราคาปิโตรเคมีที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นและคาดว่าน่าจะทรงตัวในระดับสูงตลอดทั้งไตรมาส ซึ่งจะส่งผลดีต่องบ Q1/50 ส่วนแผนการลงทุนในโรงงานโอเลฟินส์เพิ่มอีก 1 ล้านตันต่อปี ที่เป็นความหวังสูงสุดของ PTTCHเดินหน้าต่อเนื่อง จะเริ่มก่อสร้างในปีนี้เป็นต้นไป ทำให้ต้องมีงบลงทุนกว่า 39,801 ล้านบาทในปี2550 และ 28,523 ล้านบาทในปี2551 แหล่งเงินทุนมาจากการเพิ่มทุนครั้งที่ผ่านมาและจากเงินกู้ สำหรับโครงการนี้คาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตในเชิงพาณิชย์ได้ราวปลายปี2552 ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นช่วงขาขึ้นรอบใหม่ของวงจรธุรกิจปิโตรเคมี PTTCHประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับปี 2549 เพิ่มอีก 2.75 บาท ก่อนหน้านี้ได้จ่ายไปแล้ว 2.5 บาท ทั้งปี 2549 จ่ายเงินปันผลรวม 5.25 บาท ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 27 มี.ค. 2550 จ่ายเงินปันผลวันที่ 26 เม.ย. 2550 และคาดว่าในปี2550 PTTCHจะจ่ายเงินปันผลในอัตรา 5 บาทต่อหุ้น ดังนั้น K.KRAZIP แนะนำ "ซื้อ" แนวรับที่ 75บาท แนวต้านที่82 บาท

SVOA ราคาเปิด 1.56 บาท ราคาปิด 1.55 บาท มูลค่าการซื้อขาย 0.90 ล้านบาท
กำไรในปี2549ที่เติบโตขึ้นมากเป็นผลมาจากการประหยัดค่าใช้จ่าย การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานและการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายเพิ่มขึ้น ทำให้มีการกระจายความเสี่ยงจากเดิมที่เน้นลูกค้ากลุ่มข้าราชการ แต่ปัจจุบันได้เพิ่มลูกค้ารายย่อยให้มีสัดส่วนมากขึ้น ในปีนี้ตลาดเครื่องคอมพิวเตอร์โดยรวมน่าจะเติบโตได้ถึง 1.6-1.7 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้นจากปี 2549 ที่ 1.4-1.5 ล้านเครื่อง ซึ่ง SVOAจะรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดให้อยู่ที่ 8-9% ใกล้เคียงกับปีก่อน ส่วนค่าเงินบาทที่ปรับแข็งค่าขึ้นในปีที่ผ่านมาทำให้รายได้ปรับลดลง แต่ในส่วนตลาดส่งออกไปยัง แอฟริกา อียิปต์ เนปาล และอินโดนีเซีย ในปี 2549 มีการส่งออกเครื่องคอมพิวเตอร์ 8 พันเครื่อง และที่เหลือเป็นการส่งออกอะไหร่คอมพิวเตอร์ ซึ่งปีนี้คาดว่าจะใกล้เคียงกับปีก่อน และSVOA ได้ประกาศจ่ายปันผล 0.10 บาทต่อหุ้น ไปแล้ว ดังนั้น K.KRAZIP แนะนำ "ซื้อ" แนวรับที่ 1.54 บาท แนวต้านที่ 1.68 บาท

PRO ราคาเปิด 1.23บาท ราคาปิด 1.37บาท มูลค่าการซื้อขาย 100.28ล้านบาท PROทำธุรกิจบริการบำบัดและกำจัดของเสียอุตสาหกรรมแบบครบวงจร นอกจากนี้ตัวของPROเองได้ดำเนินธุรกิจตัวใหม่คือการจัดการและรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์คาดว่ารายได้จะมีประมาณ80 %เป็นรายได้หลักของPROและที่เหลือเป็นรายได้จากธุรกิจเดิมอีก20%และธุรกิจตัวใหม่นี้ไม่มีผลกระทบกับประชาชนหมือนธุรกิจเดิมดังนั้นจะทำให้บริษัททำงานได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้นและน่าจะทำให้บริษัทมีกำไรมากขึ้นกว่าเดิมและบริษัทยังมีแผนที่จะเพิ่มทุนที่ออกหุ้นใหม่ 400 ล้านหุ้นแล้วบริษัทยังจะขายหุ้นเพิ่นทุน70 ล้านบาทให้กับนักลงทุนแบบเฉพาะเจาจงอีกด้วยและจากการออกหุ้นเพิ่มทุนนี้จะทำให้บริษัทมีเงินทุนหมุนเวียนมากขึ้นและบริษัทจะมีความสามารถขยายการลงทุนและพัฒนาระบบให้มีความสามารถแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดได้มากขึ้นและมีบริษัทต่างประเทศมาร่วมทุนประเด็นนี้จะทำให้นักลงทุนเกิดความมั่นใจในการลงทุนและจะเป็นผลดีกับตัวของ PROเองที่มีผู้เชื่ยวชานมาดูแลการทำธุรกิจตัวใหม่ของบริษัทดังนั้นเราคาดว่าในปีนี้จะทำให้บริษัทมีกำไรมากขึ้นเราจึงนะนำ " ซื้อเก็งกำไร" แนวรับที่ 1.32 บาท แนวต้าน 1.49บาท

ที่มา ทันหุ้น[/color:1ff5b98a00">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com