November 1, 2024   6:49:59 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > หุ้นสื่อสารที่กำไรสุดและปรับลดสุดในช่วงนี้
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 13/03/2007 @ 09:38:42
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

แม้ปี 2549 ธุรกิจกลุ่มสื่อสารต้องเผชิญกับปัจจัยลบหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการขายหุ้น SHIN ให้กับเทมาเซค,สงครามค่าโทรศัพท์มือถือ ,ปัญหาเรื่องค่าสัมปทาน และที่หนักสุดน่าเป็นเรื่องพ.ร.บ.ประกอบธุรกิจคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 แต่ปัจจัยลบดังกล่าวไม่ได้ทำให้ผลประกอบการของหุ้นกลุ่มนี้ลดลงจนรับไม่ได้แต่อย่างใด

เนื่องจากบริษัทที่ทำกำไรเสมอต้นเสมอปลาย ยังคงทำกำไรได้เหมือนเดิม แต่อาจลดลงบ้างเล็กน้อย ยกเว้นหุ้นกลุ่มตระกูลชินเพียงกลุ่มเดียวที่มีผลกำไรลดลงทั้งกลุ่มเหมือนกันหมดโดยเฉพาะในรายของ SATTEL ที่พลิกขาดทุนอย่างหน้าตาเฉย

เมื่อทำการสำรวจผลประกอบการปี 2549 หุ้นกลุ่มสื่อสารทั้งหมด 25 ตัว ที่คำนวณจากกำไรต่อหุ้นที่เพิ่มขึ้นมากสุดไปหาน้อยสุดพบว่า หุ้นที่มีกำไรสุทธิต่อหุ้นเพิ่มขึ้นเพียง 12 ตัวคือ ส่วนที่เหลืออีก 13 ตัว เป็นหุ้นที่กำไรสุทธิต่อหุ้นลดลง โดยในจำนวนนี้เป็นหุ้นที่มีผลขาดทุน 5 ตัว แบ่งออกเป็นหุ้นที่พลิกขาดทุน 2 ตัว คือ หุ้น SATTEL และ BLISS ส่วนที่เหลืออีก 3 ตัว TRUE,TT&T และIEC เป็นหุ้นที่ประสบปัญหาขาดทุนอย่างต่อเนื่อง

โดยบริษัทที่มีกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นสูงสุดคือ บริษัท ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือFORTH มีกำไรสุทธิ 213.48 ล้านบาท หรือ 0.51 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 537.50% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 31.68 ล้านบาท หรือ 0.08 บาทต่อหุ้น ถือเป็นการเติบโตสวนภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวอย่างน่าทึ่ง

ทั้งที่หุ้นตัวนี้เป็นหุ้นน้องใหม่ที่เพิ่งเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ไม่นาน แต่กลับแสดงผลกำไรโดดเด่นเกินหน้าเกินตาหุ้นรุ่นพี่ๆ อย่างโดดเด่น และทำให้ปีที่ผ่านมานักลงทุนเข้ามาไล่ราคาหุ้นกันอย่างคึกคัก

สำหรับกำไรต่อหุ้นที่เพิ่มขึ้นแรง เป็นผลมาจากรายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 2,480.61ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปี 2548 อยู่ที่1,678.79 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายได้จากการขาย,การบริการ และรายได้จากการรับเหมาโครงการที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก

ส่วนอันดับ 2 บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAMART กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 1,990.29 ล้านบาท จากงวดเดียวกันปี 2548 อยู่ที่ 583.70 ล้านบาทหรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 237.70% มาที่ 2.06 บาท จากงวดเดียวกันปี 2548 อยู่ที่0.61 บาท ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 31,001.65ล้านบาท จากงวดเดียวกันปี 2548 อยู่ที่18,858.67 ล้านบาท

สาเหตุที่กำไรเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ในธุรกิจจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ธุรกิจการผลิตและจำหน่ายเสาอากาศวิทยุโทรทัศน์และจานรับสัญญาณดาวเทียม,ธุรกิจการควบคุมจราจรทางอากาศในประเทศกัมพูชา,ธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์เกี่ยวกับระบบรักษาความปลอดภัยและระบบสื่อสารด้านภาพและเสียง,ธุรกิจบริการอินเตอร์เน็ต

ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าหุ้นในกลุ่ม SAMART มีผลกำไรโดดเด่นทั้งกลุ่ม อาทิ SIMหรือ บริษัท สามารถ ไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) และ SAMTEL หรือ บริษัท สามารถเทลคอม จำกัด (มหาชน) สามารถทำกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นติดในกลุ่มหุ้นที่กำไรต่อหุ้นเพิ่มโดยทั้ง 2 บริษัท อยู่ในลำดับที่ 8 และ11 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการบริหารของกลุ่มนี้มีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง

สำหรับแผนงานในปีนี้ SAMART ได้เตรียมความพร้อมในหลายด้านเพื่อสู้กับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยเน้นให้เป็นปีแห่งการเพิ่มมูลค่าหรือความคุ้มค่าในการใช้สินค้าและบริการของกลุ่มสามารถฯ ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ตั้งเป้ารายได้รวมไว้ทั้งสิ้น 35,000 ล้านบาทคิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นประมาณ 21 %

อันดับ 3 บริษัท แอ็ดวานซ์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ AITกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 197.18 ล้านบาท จากงวดเดียวกันปี 2548 อยู่ที่ 68.47 ล้านบาทหรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 188.30% มาที่ 4.93 บาท จากงวดเดียวกันปี 2548 อยู่ที่1.71 บาท บริษัทมีรายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 2,278.46 ล้านบาท จากงวดเดียวกันปี 2548 อยู่ที่ 1,362.79 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้งานโครงการเพิ่มมากขึ้นกว่าทุกๆปี

อันดับ 4 บริษัท เอสวีโอเอ จำกัด (มหาชน) หรือ SVOA กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 153.33 ล้านบาท จากงวดเดียวกันปี 2548 อยู่ที่ 89.65 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 80 % มาที่ 0.18 บาท จากงวดเดียวกันปี 2548 อยู่ที่ 0.10 บาท

อันดับ 5 บริษัท ยูไนเต็ดคอมมูนิเกชั่น อินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ UCOM กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 1,610.91 ล้านบาท จากงวดเดียวกันปี 2548 อยู่ที่ 990.83 ล้านบาทหรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 62.72% มาที่ 3.71 บาท จากงวดเดียวกันปี 2548 อยู่ที่ 2.28 บาท

สำหรับหุ้นที่ปรับตัวลดลงปี 2549 หากสังเกตจะพบว่า ธุรกิจสื่อสารในกลุ่มชินคอร์ปหรือ SHIN ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีกำไรทรุดตัวลงถ้วนหน้า โดยผลการดำเนินงานลดลงเป็น 3,409.95 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปี 2548 อยู่ที่ 8,573.26 ล้านบาทกำไรต่อหุ้นลดลงเป็น 62.02% มาที่ 1.09 บาท จากงวดเดียวกันปี2548 อยู่ที่ 2.87 บาท

ทั้งนี้มีหุ้น SATTEL หรือ บริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) ของกลุ่มนี้ที่ขาดทุนเป็น45.55ล้านบาท จากงวดเดียวกันปี 2548 อยู่ที่1,336.97 ล้านบาท ขาดทุนต่อหุ้น 103.31% มาที่ 0.04 บาท จากงวดเดียวกันปี 2548 อยู่ที่ 1.21 บาท สาเหตุหลักๆ ที่ขาดทุน เพราะบริษัทตัดจำหน่ายดาวเทียมไทยคม 3 จำนวน 964 ล้านบาท หากไม่รวมรายการนี้จะมีกำไรสุทธิในปีนี้จำนวน 629 ล้านบาท

ส่วนหุ้นที่ขาดทุนหนักสุดอีกตัวหนึ่งในกลุ่มสื่อสาร คือ BLISS หรือ บริษัท บลิส-เทลจำกัด (มหาชน) ขาดทุนเป็น 456.23 ล้านบาท จากงวดเดียวกันปี 2548 มีกำไรสุทธิ 114.78 ล้านบาท ขาดทุนต่อหุ้น 496% มาที่1.98 บาท จากปีก่อน2548มีกำไรต่อหุ้น 0.50บาท ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ผู้บริโภคจึงระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น จึงส่งผลให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่โดยเฉพาะด้านราคาขาย


[/color:06e8f5d0ea">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com