November 1, 2024   7:05:11 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > กระซิบหน้าจอ
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 16/03/2007 @ 11:48:52
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

SET Index วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม 2550 ปิดที่ดัชนี 674.31จุด +3.69จุด มูลค่าการซื้อขาย 8,677 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 991.89 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 23.34 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 1,015.23 ล้านบาท SET Index ทำ High ที่ระดับ 675.71จุด +5.09จุด และ Low ที่ระดับ 672.19จุด +1.57 จุด ตลาดกลับมาขึ้นตามดาวโจนส์ที่ Rebound แต่ SET Index ก็วิ่งแค่ในกรอบแคบ ๆ วอลุ่มเทรดไม่เยอะ โดยได้แรงซื้อหุ้นใหญ่กลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคาร กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ให้ดัชนีทรงตัวอยู่ได้ในแดนบวกซึ่งก็ไม่ได้ซื้อมากนัก โดยแรงซื้อส่วนใหญ่มีเข้ามาในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่นักลงทุนหันมาเก็งกำไรกันซะมากกว่า มูลค่าการซื้อขายของตลาดรวมจึงยังเบาหวิวแต่สภาพของตลาดก็คึกคักดีไล่หุ้นราคาจิ๊บ ๆ กันแบบว่าตัวละไม่กี่บาทไม่กี่สตางค์น่ะ รายย่อยบอกซื้อง่ายขายคล่องยิ่งโผล่หน้ามาเต็มกระดานเท่าไหร่ตลาดก็ยิ่งคึกคัก พอที่จะทำให้ทั้งนักลงทุนนักเก็งกำไรและบรรดาโบรกเกอร์ต่างก็ยิ้งทั้งน้ำตากันได้บ้างในสภาวะตลาด (ทรงกับทรุด) ที่ผ่านมา ขณะที่ทางด้านผู้ว่าแบงค์ชาติก็ออกมาฟันธงว่ายังไม่มีการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% รวมถึงค่าเงินที่แข็งค่าขึ้นเมื่อวานเนื่องจากมีความเข้าใจผิดว่าจะมีการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ซึ่งจริง ๆ เป็นแค่การเพิ่มทางเลือกเท่านั้น ซึ่งทางรมว.คลังเองก็ไฟเขียวกับการดำเนินนโยบายการเงินของแบงค์ชาติ

AMATA ราคาเปิด - ปิด 11.20 บาท มูลค่าการซื้อขาย 3.40ล้านบาท คาดการณ์ยอดขายที่ดินใน 1Q07 จะสูงกว่า 1Q06 จากยอดขายที่ดินกว่า 160 ไร่ ซึ่งปัจจุบันพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมของ AMATA
ที่พร้อมจะให้เช่าและจำหน่ายมีทั้งสิ้น 1,400-1,500ไร่ ด้านต่างประเทศในปีนี้ AMATA ตั้งเป้ายอดขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมที่ประเทศเวียดนามจำนวน 20 เฮคแตร์(375ไร่) จากที่ดินที่รอการขายเหลืออยู่ประมาณ 200 เฮคแตร์
ทั้งนี้คาดว่า AMATA จะสร้างรายได้ประมาณ 1 พันล้านบาทในปีนี้จากนิคมอุตสาหกรรมประเทศเวียดนาม กอปรกับใน 2Q07 จะได้investment license ในประเทศเวียดนามเพื่อดำเนินธุรกิจให้เช่าพื้นนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มอีก 120 ไร่
ซึ่งบริษัทมีแผนที่จะพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวเป็นที่อยู่อาศัยพาณิชยกรรมและโรงงานให้เช่าโดยพื้นที่ดังกล่าวจะอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับนิคมอุตสาหกรรมของAMATAเวียดนามเดิม K.KRAZIP แนะนำ "ทยอยซื้อ" แนวรับ 11บาท แนวต้าน 11.70บาท

QH ราคาเปิด 1.20 บาท ราคาปิด 1.27 บาท มูลค่าการซื้อขาย 58.88 ล้านบาท จากความสำเร็จของการเปิดโครงการภายใต้แบรนด์ Casa ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า ส่งผลให้ยอดขายและยอดรับรู้รายได้ในช่วง 2H49 ของ QH ออกมาค่อนข้างโดดเด่น โดยกระแสตอบรับโครงการในแบรนด์ Casa Ville ยังมีแรงเหวี่ยงต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีการเปิดตัวโครงการใหม่ ๆ เพิ่มเติม ทำให้ยอด Presales ในช่วงต้นปีของ QH ยังคงออกมาโดดเด่น
ภายหลังความสำเร็จในการออก Property Fund ส่งผลให้ QH มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น จึงมีแรงกดดันจากภาระดอกเบี้ยน้อยลง อีกทั้งยังมีการระบายสต็อกบ้านในโครงการเก่า ๆ ที่มี GPM ต่ำออกไป ส่งผลให้
QH มีความคล่องตัวมากขึ้นในการเปิดโครงการใหม่ ๆ ซึ่งการเปิดตัวโครงการใหม่จะช่วยสร้างความต่อเนื่องของยอด Presales ให้แก่ QH นอกจากนี้ QH ยังมีแผนที่จะขายตึกเข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติมในช่วง 2H50
ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกที่จะเข้ามากระตุ้นการปรับเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นได้ K.KRAZIP ถือว่าน่าสนใจ เนื่องจากแนวโน้มผลประกอบการในช่วง 1Q50 น่าจะออกมาสูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบ YoY แนะนำ ?ซื้อลงทุน? โดยมีแนวรับ 1.24 บาท แนวต้าน 1.35 บาท

BIGC ราคาเปิด 48.75 บาท ราคาปิด 47.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1.19 ล้านบาท ในปี 2549ธุรกิจค้าปลีกไทยขยายตัว จากปีก่อนหน้าประมาณ 5% เนื่องจากปัญหาอัตราเงินเฟ้อ และความมั่นใจของผู้บริโภค ที่ลดลงเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ปัญหาไข้หวัดนก รวมถึงปัญหาเสถียรภาพทางการเมืองซึ่งในปี 2550 ปัญหาต่างๆ ยังไม่มีแนวโน้มที่จะลดลงมากนักคาดว่าการขยายตัวของธุรกิจค้าปลีกไทยน่าจะขยายตัวไม่สูงกว่าปีก่อนหน้ามากนัก เนื่องจากเน้นขายสินค้าราคาถูกกว่า สำหรับในปี 2550 BIGCมีแผนจะเปิดสาขาอีก 4 แห่ง ได้ประมาณการกำไรปี 2550 จะเติบโต 8% และยอดขายโดยรวมจะเพิ่มขึ้นประมาณ 11 % จากรายได้จากสาขา 5 แห่งที่เพิ่งเปิดในปีก่อน สำหรับกลยุทธ์การตลาดของ BIGCน่าจะเพิ่มค่าใช้จ่ายสำหรับการทำ Promotion เพื่อแย่งส่วนแบ่งการตลาดจากคู่แข่ง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ค่อนข้างทรงตัวทำให้การเติบโตของยอดขายค่อนข้างคงที่ส่วนรายได้ค่าเช่าคาดว่าเติบโตขึ้น 4 % จากการขยายสาขาเพิ่ม และ BIGC ประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับปี 2549 ในอัตราหุ้นละ 1.56 บาท กำหนดการจ่าย วันที่ 25 พฤษภาคม 2550 ดังนั้น K.KRAZIP แนะนำ "ซื้อ" แนวรับ47บาท แนวต้าน50 บาท

MFEC ราคาเปิด 4.70 บาท ราคาปิด 4.90 บาท มูลค่ากาณซื้อขาย 46.29 ล้านบาท
ในปี 2549 MFEC มีรายได้รวม 2,392 ล้านบาท เติบโต 58% และคาดว่าปี2550จะมีรายได้เติบโต 20-25% ซึ่งสูงเป็น 2 เท่าของการเติบโตอุตสาหกรรมไอทีโดยรวมที่ปีนี้คาดว่าจะโต 10% ซึ่งจะเน้นลูกค้าในตลาดเอกชนมากขึ้น
เนื่องจากลูกค้าของภาครัฐได้รับผลกระทบจากปัจจัยด้านการเมือง ทำให้ความต้องการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศไม่มีการเคลื่อนไหวมากนัก MFECกำลังจะขยายงานไปยังตลาดต่างประเทศ และลงทุนในโครงการขนาดใหญ่เพิ่มเติม เน้นการปรับปรุงประสิทธิภาพระบบภายในให้เข้มแข็งมากขึ้นและปรับปรุงการบริหารงานบริษัทในเครือให้มีประสิทธิภาพ เพื่อผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น ในปี 2550 จะทยอยรับรู้รายได้จาก backlog ปี 2549
จำนวน 1,015 ล้านบาท จะทยอยรับรู้รายได้ไตรมาสละ 200-300 ล้านบาท และในวันที่ 20 เมษายนนี้ จะมีการขออนุมัติเพื่อออกวอร์แรนต์ ในสัดส่วน 4 :1 ราคาแปลงสิทธิ 3 บาท อายุ 3 ปี คาดว่าน่าจะออกได้ในครึ่งหลังปี2550
เนื่องจากต้องการเพิ่มสภาพคล่องและจากการออกวอร์แรนต์ดังกล่าวหากผู้ถือหุ้นแปลงสิทธิครบจะทำให้ได้เงินเข้ามาทั้งสิ้น160 ล้านบาท K.KRAZIP แนะนำ "ซื้อ" แนวรับ 4.84 บาท แนวต้าน 5.15 บาท

ทีมา ทันหุ้น[/color:7e8d9bc580">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com