November 1, 2024   6:44:17 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > กระซิบหน้าจอ
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 05/04/2007 @ 10:54:41
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

SET Index วันพุธที่ 4 เมษายน 2550 ปิดที่ดัชนี 693.54 จุด +7.01จุด มูลค่าการซื้อขาย 17,218 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 3,230.04 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 397.27 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 3,627.31 ล้านบาท SET Index ทำ High ที่ระดับ 695.99 จุด +9.46 จุด และ Low ที่ระดับ 690.34 จุด +3.81 จุด ตลาดต่างประเทศชี้นำดัชนีให้เป็นบวกทั้งตลาดหุ้นยุโรปสหรัฐและในภูมิภาค แรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิต่อเนื่อง วานนี้หุ้นธนาคารมีแรงซื้อเข้ามามากอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากวันที่ 11 เมษายนนี้ทาง กนง. จะมีการประชุมพิจารณาทบทวนอัตราดอกเบี้ย R/P 1 วัน โดยขณะนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 4.50% ซึ่งต่างคาดว่าน่าจะมีการปรับลดลง 0.50% ในการประชุมครั้งหน้า รวมถึงระยะใกล้นี้หุ้นธนาคารกำลังจะทยอยขึ้นเครื่องหมาย XD เพื่อรับปันผลกัน
อีกทั้งตลาดยังคงได้แรงซื้อในหุ้นใหญ่จากกลุ่มพลังงานและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ช่วยหนุนให้ดัชนีบวกขึ้นแรงตั้งแต่ตลาดเปิดทำการ

ATC ราคาเปิด 46.50บาท ราดาปิด47.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย490.627 ล้านบาท จากการที่ราคาพาราไซลีนเฉลี่ย เพิ่มขึ้น 30% ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ที่ยังคงแข็งแกร่ง
ในขณะที่ด้านของวัตถุดิบคอนเดนเสทมีราคาทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากราคาน้ำมันที่ลดลงมาอย่างต่อเนื่องในช่วงปลายปีก่อน จากผลดังกล่าวทำให้ product-to-feed-margin ของบริษัทปรับตัวดีขึ้น 57%ดังนั้นเราประเมินว่าบริษัทจะมีกำไรเพิ่มขึ้น และการที่จะรวมกิจการ ATCและRRC เป็นแบบจัดตั้งบริษัทใหม่ ซึ่งคาดว่าการรวมกิจการระหว่าง ATC และ RRC จะเป็นไปในรูปแบบเดียวกันกับ
โดยน่าจะได้ข้อสรุปการรวมกิจการในปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคมนี้ และอาจมีการปรับประมาณการรายได้และกำไรปีนี้เพิ่มขึ้น จากเดิมที่คาดว่ารายได้และกำไรจะเติบโต 10% เนื่องจากปัจจุบันส่วนต่างระหว่างราคาวัตถุดิบและราคาผลิตภัณฑ์สูงขึ้นกว่าปีก่อนมาก และในปีนี้บริษัทฯ ไม่มีการหยุดซ่อมบำรุงโรงงานจึงทำให้เดินเครื่องได้เต็มที่ โดยคาดว่าปีนี้ทั้งปีจะมีปริมาณขาย 6.7 แสนตัน ประกอบกับการปรับปรุงคุณภาพโรงงานเมื่อปีก่อนส่งผลให้ราคาขายเบนซินดีขึ้น ดังนั้น K.KRAZIP แนะนำ "ซื้อ" แนวรับ 46บาท แนวต้าน 50 บาท HEMRAJ ราคาเปิด 0.93 บาท ราคาปิด 0.94 บาท มูลค่าการซื้อขาย 122.44 ล้านบาท

HEMRAJ มียอดขายใน 1Q50 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และคาดว่าใน 2Q50 จะขายที่ดินได้มากขึ้น โดยลูกค้าเป้าหมายสำคัญอยู่ในกลุ่มเคมีภัณฑ์และยานยนต์ คาดว่าจะส่งผลให้ใน 1H50 จะขายที่ดินได้ทั้งหมด 500-600 ไร่ ซึ่งเพิ่มขึ้นก้าวกระโดดจาก 1H49 ที่ขายได้ 217 ไร่ บริษัทมีการปรับเป้าหมายยอดขายที่ดินของปี 50 ขึ้นจาก 725 ไร่ เป็น 850 ไร่ ซึ่งดีกว่าที่การคาดการณ์ไว้ที่ 600 ไร่ และยอดขายที่ดินที่มาบตาพุด 325 ไร่ใน 4Q49 มูลค่า 975 ล้านบาท จะถูกรับรู้รายได้ในปี 50 ทั้งหมด นอกจากนั้น HEMRAJ ยังรับรู้รายได้จากคอนโดมิเนียม ?The Park? มากขึ้นในปี 50 โดยในปี 49 บริษัทมีการรับรู้รายได้จากคอนโดมิเนียมต่ำกว่าคาด ดังนั้นจะเลื่อนการรับรู้รายได้มายังปี 50 มากขึ้น ณ ปัจจุบันบริษัทมียอดขายคอนโดมิเนียมแล้ว 83% ดังนั้นหากบริษัทสามารถขายที่ดินได้ดีตามแผนที่วางไว้ ก็จะทำให้บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้น ซึ่งวันนี้ขึ้นเครื่องหมาย XD รับปันผลกันไป 0.04 บาท/หุ้น หลังรับปันผล K.KRAZIP ก็ยังแนะนำ "ซื้อ" โดยมีแนวรับที่ 0.90 บาท แนวต้านที่ 0.98 บาท

LH ราคาเปิด 7.30 บาท ราคาปิด 7.20 บาท มูลค่าการวื้อขาย 210.94 ล้านบาท LH ตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโต 10-15% จากปีก่อนที่มีรายได้ 19,552.80 ล้านบาท ซึ่งยอดขายที่จะทยอยรับรู้ในโครงการต่อเนื่องรวมถึงโครงการที่เตรียมเปิดใหม่ในปีนี้มากพอ และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปีนี้มีแนวโน้มทรงตัวจากปีก่อน
แม้อัตราดอกเบี้ยจะมีทิศทางเป็นขาลงตามอัตราเงินเฟ้อ แต่ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ ยังไม่เติบโตมากนัก ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจในประเทศก็มีสัญญาณชะลอตัว ซึ่งมีผลฉุดกำลังซื้อผู้บริโภคให้ลดลง K.KRAZIP
เชื่อว่าหากภาพการเมืองดีขึ้น มีการเลือกตั้งชัดเจน จีดีพีขยายตัว ความเชื่อมั่นผู้บริโภคก็น่าดีขึ้นด้วย LH
มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายปี 2549 จำนวน 0.15 บาทต่อหุ้น XD วันที่ 3 พ.ค. และจ่ายเงินปันผลวันที่ 25 พ.ค.2550 ( รวมทั้งปี 0.32 บาทต่อหุ้น) จึงแนะนำ "ซื้อ" โดยมีแนวรับที่ 7.10 บาท แนวต้าน 7.50 บาท

TIPCO ราคาเปิด 7.15 บาท ราคาปิด 7.25 บาท มูลค่าการซื้อขายขาย 4.25 ล้านบาท ผู้บริหาร TIPCOตั้งเป้ายอดขายรวมเติบโตกว่า 34.8%YoY อยู่ที่ 5,000 ล้านบาท ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากอุตสาหกรรมน้ำผลไม้ที่ขยายตัวต่อเนื่องเฉลี่ย 17.0%YoY และการขยายฐานลูกค้าสู่ตลาดน้ำผลไม้ระดับล่าง-กลาง มีมูลค่ารวมกว่า 2,203 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนถึง 44.3%ของตลาดรวมในปี 2549 K.KRAZIP
มีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มการเติบโตก้าวกระโดดของธุรกิจน้ำผลไม้ เชื่อว่าจะได้รับผลประโยชน์ทางอ้อมของการเปิดการค้าเสรีระหว่างไทยกับญี่ปุ่น และผลจากการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การจัดจำหน่ายที่เน้นระยะสั้นมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ผลประกอบการธุรกิจสับปะรดส่งออกฟื้นตัวอย่างโดดเด่นและส่งผลต่อเนื่อง ดังนั้น K.KRAZIP แนะนำ "ซื้อ" เพราะจุดแข็งการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำผลไม้ในประเทศและสับปะรดส่งออกรายใหญ่ที่สุดของไทย โดยมีแนวรับที่ 7.10 บาท แนวต้าน 7.50 บาท

ที่มา ทันหุ้น[/color:d3e7c2f660">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com