ก่อนจะเดินจากมา..
แกชี้มือให้ผมมองดูสองแม่ลูก ซึ่งผมเข้าใจว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของวัด
แต่แกบอกว่า..ผมเข้าใจผิด
แม่ลูกคู่นี้คือผู้ติดเชื้อรายล่าสุดที่ถูกนำมาทิ้งไว้ที่หน้าวัดเมื่อคืนที่ผ่านมา
ทั้งสองคนกอดคอกันร้องไห้จนตาบวม แกบอกว่าเพียงเห็นใบหน้าที่ขาวซีดของผู้เป็นแม่เพียงแว๊บเดียว แกก็รู้ว่าผู้เป็นแม่เข้าสู่ระยะสุดท้ายแล้ว ส่วนลูกสาวตัวน้อยยังไม่มีใครรู้ว่าติดเชื้อจากผู้เป็นแม่หรือไม่
แกบอกให้ผมถ่ายภาพ..
ผมจะอ้อมไปถ่ายที่ด้านหลังเพื่อไม่ให้มองเห็นหน้าชัดเกินไป แต่แกบอกว่าไม่จำเป็น..เพราะคุณจะไม่มีโอกาสได้เห็นผู้ป่วยที่นี่ออกไปใช้ชีวิตในสังคมภายนอก
วัดพระบาทน้ำพุคือแดนประหารทางสังคม
ไม่มีใครได้ออกไปจากวัด ทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนถูกขับไล่ออกมาจากบ้าน จากครอบครัว จากสังคม..เป็นเพียงขยะมนุษย์ที่ไร้ค่าในสายตาของผู้คนภายนอก
แต่ผมก็ยังรู้สึกไม่ค่อยดีขอพรางหน้าเธอไว้หน่อยก็แล้วกัน
ผมนั่งมองดูสองแม่ลูกอยู่เป็นนาน สำหรับผมวัดแห่งนี้เป็นแดนประหลาด
ถ้าเป็นนักโทษ ยังมีเวลาพ้นโทษ ยังมีโอกาสที่จะฝันถึงอนาคต
ถ้าเป็นคนป่วย ก็ยังมีวันหาย มีวันที่จะกลับออกไปใช้ชีวิตภายนอกท่ามกลางครอบครัวที่อบอุ่น
แต่ที่นี่เหมือนเป็นอีกโลก..อีกสังคม
ที่นี่ไม่มีอนาคต ไม่มีวิมานในอากาศที่สวยหรู และไร้ซึ่งความฝัน
มีแต่ความจริงของชีวิต..ว่่าทุกคนกำลังจะตายไม่มีข้อยกเว้นว่าเด็กหรือผู้ใหญ่
จากอดีตอัตราการเสียชีวิตจะอยู่ที่ 3-5 รายต่อวันเผาศพจนเมรุแตก
แต่ปัจจุบันด้วยเงินบริจาคที่มากพอจะหายาดี ๆ มาผู้ป่วยได้ใช้ ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตลดลงเป็นเดือนละ 4-5 ราย
แต่ถ้าไม่มีรายได้จากการบริจาคของผู้ใจบุญและถ้าวัดแห่งนี้มีอันต้องปิดตัวลง ผู้ป่วยเหล่านี้จะไปอยู่ที่ไหน..
ผมหันหน้าไปถามลุงสัปเหร่อ แกส่ายหน้าบอกไม่รู้เหมือนกัน
รู้แต่ว่างานของแกคงเพิ่มมากขึ้น อัตราการตายอาจกลับไปเหมือนยุคก่อน คงได้เห็นเมรุเผาศพต้องแตกอีกครั้ง..
แล้วเราสองคนก็นั่งกอดเข่ากันเงียบ ๆ ..
มองดูเด็กหญิงตัวน้อยวิ่งเล่นอย่างไม่รู้ประสา
จะมีคนภายนอกสักกี่คนที่จะรู้ว่า..ภายในวัดพระบาทน้ำพุมีเรื่องเศร้ามากมายที่เล่าไม่รู้จบ..???
http://www.palungjit.com/board/showthread.php?t=14617
[b:fec159035d">
กด 1900 222 200 ทำบุญให้ วัดพระบาทน้ำพุ
กด 1 ครั้ง ทำบุญ9 บาท[/color:fec159035d">[/size:fec159035d">[/b:fec159035d">