|
|
|
kaisel สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 3,380 | วันที่: 29/08/2007 @ 08:44:03 คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่ ผลการโหวต SET
การที่ดัชนีไม่อาจฝ่าแนว Tweezers Top และเส้นค่าเฉลี่ย 25 วัน บริเวณ 795-800 จุด นั้น ได้ส่งผลเชิงลบต่อทิศทางระยะสั้น ดัชนีปรับลดลงค่อนข้างมากระหว่างชั่วโมงซื้อขาย แต่ก็สามารถดีดกลับเมื่อปรับลงเข้าใกล้เส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน บริเวณ 780 จุด รูปแบบ Hammer ที่เกิดขึ้นเหนือเส้นแนวรับ ขณะที่สัญญาณ RSI มีการฟื้นตัวอย่างเด่นชัดแสดงถึงโอกาสของการดีดกลับครั้งใหม่ คาดว่าดัชนีจะสามารถดีดตัวขึ้นปิด gap บนบริเวณ 810 จุดได้ในอนาคตอันใกล้
มุมมองระยะกลาง - TOP
กลยุทธ์การลงทุน: ซื้อ
แนวโน้มขาขึ้นระยะกลางของ TOP รอบปัจจุบันเริ่มต้นเมื่อราคาฝ่า Down Trend Line ณ 60.00 บาทกลางเดือน เม.ย. 50 ราคาดีดตัวอย่างรวดเร็วสู่จุดสูงสุดใหม่ที่ 95.50 บาท ก่อนที่จะปรับฐานอย่างมีนัยสำคัญ อันเกิดจากสภาวะการซื้อมากเกินไป สังเกตเห็นว่าราคาปรับลงมาถึงเส้นค่าเฉลี่ย 25 สัปดาห์ และแนว Tweezers Top เดิมช่วง 70.00-75.00 บาท อีกทั้งยังสามารถทรงตัวได้เป็นอย่างดี ณ ที่ดังกล่าวแท่งเทียนรายสัปดาห์เกิดรูปแบบเปลี่ยนแนวโน้มหลายประการ แสดงถึงโอกาสที่หุ้นพร้อมที่จะดีดกลับครั้งใหม่
หุ้นเด่น เล่นสั้น - S2Y
กลยุทธ์การลงทุน: ซื้อ
จากกราฟรายวัน ราคามีรูปแบบการกลับตัว (Reversal pattern) ยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 5 และ 10 วัน พร้อมกับการสะสมกำลังมาระยะหนึ่ง เพื่อรอการ break up ของราคา นอกจากนั้น ยังมีสัญญาณซื้อจาก RSI & Stochastic อีกด้วย อย่างไรก็ดี มีโอกาสที่หุ้นจะขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 2.00-2.10 บาท ตามเส้นค่าเฉลี่ย 75 วัน จึงแนะนำ "ซื้อ" โดยให้แนวรับที่ 1.65-1.75 บาท สำหรับจุด Stop loss อยู่ที่ 1.63 บาท เมื่อหลุดเส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน
หุ้นเด่น เล่นสั้น - PSAP
กลยุทธ์การลงทุน: ซื้อ
จากกราฟรายวัน จะเห็นได้ว่ากราฟเป็นขาขึ้นโดย สามารถยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 5 และ 10 วัน พร้อมกับรูปแบบ Continuation pattern ในขาขึ้นอย่างชัดเจน นอกจากนั้น ยังมีสัญญาณซื้อจาก RSI & Stochastic ดังนั้น ในระยะกลาง มีโอกาสที่หุ้นจะขึ้นไปทดสอบเป้าหมายที่ 1.80-1.85 บาท ซึ่งเป็นบริเวณแนวต้านตามจุดสูงสุดในรอบที่ผ่านมา จึงแนะนำ "ซื้อ" โดยให้แนวรับที่ 1.45-1.50 บาท สำหรับจุด Stop loss อยู่ที่ 1.43 บาท เมื่อหลุดเส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน
:lol:
|
| กลับขึ้นบน |
kaisel สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 3,380 | #1 วันที่: 29/08/2007 @ 12:27:27 : CK: งานต่างประเทศช่วยหนุนการเติบโตในระยะยาว ? ซื้อ
แนวโน้มการได้งานใหม่ปี 51-52 สดใส
แม้การชะลอตัวของงานภาครัฐในช่วงที่ผ่านมา ทำให้งานในมือของบริษัทลดลงเหลือ 20 พันล้านบาท แต่แนวโน้มการได้งานใหม่จะสดใสขึ้นมากในปี 51 โดยคาดว่าจะได้งานก่อสร้างน้ำบาก 1 และ 2 ในลาวมูลค่าเกือบ 10 พันล้านบาท และยังมีแผนรุกงานโครงการโรงไฟฟ้าอิสระเพิ่ม รวมถึงโครงการเมกะโปรเจกต์ที่คาดว่าจะเดินหน้าหลังการเลือกตั้ง และมีงานที่ไซยะบุรีในประเทศลาวมูลค่ากว่า 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ รอต่อยอดงานในมือในปี 52 เราจึงยังแนะนำ ?ซื้อ? โดยมีราคาตามปัจจัยพื้นฐานใหม่ 11.7 บาท (Sum of the Parts Valuation)
ปี 50 ได้รับงานใหม่เพียง 1.9 พันล้านบาท
การชะลอตัวของงานภาครัฐที่ผ่านมา ทำให้ตั้งแต่ต้นปี 50 บริษัทมีการลงนามงานใหม่เพียง 1.9 พันล้านบาท ปัจจุบันจึงมีงานในมือเหลือเพียง 20 พันล้านบาท
แต่โครงการน้ำบาก 1-2 จะเพิ่มงานในมือ 50% ในปี 51
เดือน เม.ย. 50 บริษัทเซ็น MOU ศึกษาความเป็นไปได้โครงการน้ำบาก 1 และ 2 ซึ่งเป็นโครงการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ ในประเทศลาว มูลค่าโครงการ 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งบริษัทคาดว่า อาจสามารถเปิดดำเนินการได้เร็วกว่ากำหนด โดยจะพร้อมเริ่มการก่อสร้างได้ประมาณกลางปี 51 ซึ่งคาดว่า CK ลาวซึ่งเป็นบริษัทย่อยเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง ส่งผลให้งานในมือของกลุ่ม CK เพิ่มขึ้นเกือบ 10 พันล้านบาท หรือเกือบ 50% จากปัจจุบันที่มีงานในมือ 20 พันล้านบาท
คาดฟื้นตัวทำกำไรต่อเนื่อง
เราปรับลดประมาณการกำไรปี 50-52 ลง 10-15% เพื่อสะท้อนบริษัทในเครือคือ SEAN และ BMCL ที่ขาดทุนมากกว่าคาด และรายได้ปี 51 ที่จะชะลอตัวหลังจากปี 50 เซ็นงานใหม่น้อยกว่าคาด คาดกำไรสุทธิปี 50 เท่ากับ 634 ล้านบาท ฟื้นตัวหลังจากที่ขาดทุนสุทธิ 1.2 พันล้านบาทในปี 50 จากปัญหาสำรองลูกหนี้ และกำไรปกติจะฟื้นตัวจากขาดทุน 54 ล้านบาทในปี 50 เป็นกำไร 132 ล้านบาทและ 428 ล้านบาทในปี 50-51 จากความสามารถในการทำกำไรดีขึ้นเพราะโครงการมาร์จิ้นต่ำทยอยหมดไปและบริษัทในเครือกำไรดีขึ้น
:lol: |
| กลับขึ้นบน |
kaisel สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 3,380 | #2 วันที่: 29/08/2007 @ 12:28:12 : ธนาคารพาณิชย์: ความเสียหายกรณีเพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง ค่อนข้างจำกัด - มากกว่าตลาด
ปัญหาการเงินของเพรซิเดนท์ กระทบ NPL กลุ่มธนาคาร
จากการที่บริษัทเพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของประเทศ ประสบปัญหาทางด้านการเงิน จนถึงขั้นต้องปิดโรงสี 2 แห่ง อีกทั้งยังผิดสัญญาการส่งมอบข้าวของรัฐกว่า 1 ล้านตัน และอยู่ระหว่างการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อบอกเลิกสัญญาการประมูลข้าวของรัฐ ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อเนื่องมายังธนาคาร ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของบริษัท อย่างไรก็ดี เราประเมินว่าความเสียหายจะอยู่ในวงจำกัด มีเพียงแค่ BT เท่านั้น ที่อาจได้รับผลกระทบที่เป็นนัย
ธนาคาร 9 แห่ง จะมีหนี้เสีย 1.2 หมื่นล้านบาท
กลุ่มบริษัทเพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง กรุ๊ป มีวงเงินกับธนาคารทั้งหมดรวม 9 แห่ง ได้แก่ TMB, BBL, BT, KBANK, KTB, HSBC, UOB, ACL และ Islamic Bank วงเงินรวมประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งหนี้ดังกล่าวบางธนาคารได้ Classify ให้เป็น NPLs เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าอีกหลายธนาคารก็จะ Classify ให้เป็น NPLs ตามมาในอนาคตเช่นกัน
BT ยื่นฟ้องต่อ DSI เป็นรายแรก..... และต้องกันสำรองเพิ่ม
BT หนึ่งในธนาคารเจ้าหนี้เป็นธนาคารแรกที่ยื่นฟ้องต่อ DSI ตั้งแต่ต้นเดือนก.ค. ที่ผ่านมา โดยธนาคารมีมูลหนี้ทั้งหมดประมาณ 1.76 พันล้านบาท และได้มีการกันสำรองไปแล้ว 695 ล้านบาท ในไตรมาส 2/50 ที่ผ่านมา และธนาคารเผยว่าจะมีการกันสำรองเพิ่มอีกบางส่วนในครึ่งปีหลัง ทำให้เราปรับประมาณการสำรองในครึ่งปีหลังเพิ่มอีกจาก 1 พันล้านบาทเป็น 1.4 พันล้านบาท และเพิ่มสำรองในปี 51 จาก 800 ล้านบาท เป็น 1 พันล้านบาท (ก่อนหน้านี้เราได้ปรับประมาณการสำรองเพิ่มขึ้นไปแล้วจาก 500 ล้านบาท เป็น 1 พันล้านบาท ในกรณีของ CDO) จากสำรองที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เราปรับประมาณการกำไรสุทธิของ BT ในปี 50 และ 51 ลดลงจากเดิม 40% และ 17% ตามลำดับ และจากประมาณการที่ปรับลดลงทำให้เราปรับราคาตามมูลค่าพื้นฐานของ BT ลงจาก 3.30 บาท มาอยู่ที่ระดับ 2.94 บาท (PBV 51 ที่ระดับ 0.7 เท่า) โดยยังคงคำแนะนำ "ขาย" เช่นเดิม
TMB ยื่นฟ้องเป็นรายที่สอง.... และสำรองครบแล้ว
TMB เป็นธนาคารที่สองที่ยื่นฟ้องต่อ DSI ในช่วงต้นเดือนส.ค. ที่ผ่านมา โดยธนาคารมีมูลหนี้ทั้งหมดประมาณ 2 พันล้านบาท ซึ่งผู้บริหารเผยว่าธนาคารได้จัดชั้นหนี้ดังกล่าวเป็น NPLs และกันสำรองครบ 100% ดังนั้นธนาคารจึงไม่มีภาระต้องกันสำรองเพิ่มสำหรับลูกหนี้ดังกล่าวอีกในครึ่งปีหลัง
BBL และ KBANK ยังไม่ได้ฟ้อง.... แต่สำรองครบแล้ว
ส่วน BBL มีมูลหนี้ประมาณ 1.1 พันล้านบาท ขณะที่ KBANK ไม่มีรายละเอียดมูลหนี้ที่แน่ชัด แต่คาดว่ามีจำนวนไม่มาก (KBANK, UOB, ACL and Islamic bank มีมูลหนี้รวมกันประมาณ 2.7 พันล้านบาท) แต่ทั้ง 2 ธนาคารยืนยันว่าได้ Classify หนี้ดังกล่าวเป็น NPLs และกันสำรองครบทั้งจำนวนแล้ว โดยในส่วนของ KBANK เผยว่าธนาคารไม่สามารถฟ้องร้องต่อลูกหนี้ได้ เนื่องจากสินเชื่อที่ธนาคารปล่อยไม่ได้ใช้สต็อกข้าวมาค้ำประกัน
KTB ยืนยันสำรองหนี้ที่เตรียมไว้อีก 8 พันล้านบาทในครึ่งปีหลัง... ครอบคลุม NPLs แล้วทุกกรณี
ทางธนาคารไม่เปิดเผยมูลหนี้ของธนาคารที่มีต่อบริษัทเพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง (หนังสือพิมพ์เสนอข่าวว่ามีมูลหนี้ประมาณ 3.5 พันล้านบาท) แต่ได้เปิดเผยว่าธนาคารได้ประมาณการไว้แล้วว่าในครึ่งปีหลัง NPLs ของธนาคารอาจปรับเพิ่มขึ้นอีก 1 หมื่นล้านบาท และธนาคารได้เตรียมที่จะสำรองเพิ่มอีก 8 พันล้านบาทในครึ่งปีหลังนี้ (อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ใน Z-Scan KTBs report 26 Jul 08) ซึ่งจะครอบคลุม NPLs ทั้งหมด ทำให้เราคาดว่า NPLs และสำรองที่เพิ่มขึ้นนี้ได้รวมกรณีของบริษัทเพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง ไว้แล้ว ซึ่งทางฝ่ายวิเคราะห์ได้ประมาณการการกันสำรองของ KTB ในครึ่งปีหลังไว้ที่ระดับ 9 พันล้านบาท (สูงกว่าที่ธนาคารตั้งไว้) เรียบร้อยแล้ว
NPLs and Reserve of each bank
NPLs (Bt bn) Reserve (Bt bn) Coverage ratio
1H07 2H07F %Chg. 1H07 2H07F %Chg. 1H07 2H07F %Chg.
BBL 90.33 88.33 -2% 2.78 2.60 -6% 79% 84% 5%
BT 5.87 6.37 9% 1.24 1.40 13% 152% 162% 10%
KTB 101.58 111.58 10% 8.00 9.00 13% 39% 44% 5%
KBANK 39.86 37.86 -5% 2.33 2.70 16% 84% 95% 12%
TMB 61.33 61.33 0% 8.24 1.40 -83% 49% 44% -6%
Source: Banks and ZMICOs forecast
สรุป.... NPLs ของ เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง... มีผลกระทบต่อประมาณการของ BT เท่านั้น
จากที่กล่าวมาข้างต้นจะพบว่ามีเพียง BT และ KTB ที่คาดว่าจะกันสำรองเพิ่มขึ้นจากกรณีดังกล่าว อย่างไรก็ตามในกรณีของ KTB เราได้ประมาณการสำรองครอบคลุมกรณีดังกล่าวไว้เรียบร้อยแล้ว
เลือก KBANK และ BBL เป็น Top pick
จากประเด็นข่าวที่กล่าวมาข้างต้น ถึงแม้ KBANK และ BBL จะเป็นหนึ่งในเจ้าหนี้ของบริษัทเพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด แต่การบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงภาระสำรองที่แข็งแกร่ง ทำให้ทั้ง 2 ธนาคารไม่ได้รับผลกระทบใดๆ และหากพิจารณาราคาในปัจจุบันเทียบกับราคาตามมูลค่าพื้นฐานของทั้ง มี Upside กว่า 20% ดังนั้นเรายังคงเลือกทั้ง 2 ธนาคารเป็น Top pick ของเรา
Semico
:lol: |
| กลับขึ้นบน |
kaisel สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 3,380 | #3 วันที่: 29/08/2007 @ 12:29:03 : Todays Strategy
ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่อ่อนแอ เพิ่มความเสี่ยงที่เศรษฐกิจอาจชะลอตัว และเพิ่มความเป็นไปได้ที่ กนง. อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% เป็น 3.0% แต่เราคาดว่าอาจไม่ช่วยบรรยากาศการลงทุนในระยะสั้น จึงแนะนำให้รอสะสมเมื่อดัชนีอ่อนตัวแถวแนวรับ 780 จุด ในหุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของการใช้จ่ายในประเทศ อาทิ ธนาคารพาณิชย์ สื่อสาร อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
Technical Analysis
การอ่อนตัวจาก 795-800 จุด เมื่อไม่นานมานี้ น่าจะเป็นเพียงการปรับฐานช่วงสั้น เนื่องจากเส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน บริเวณ 780 จุด สามารถทำหน้าที่แนวรับได้อย่างมีนัยสำคัญ Hammer ที่เกิดขึ้น พร้อมด้วยสัญญาณซื้อจาก RSI แสดงถึงโอกาสของการฟื้นตัวครั้งใหม่ของดัชนี
หุ้นแนะนำระยะสั้น: S2Y, PSAP
หุ้นแนะนำระยะกลาง: TOP
Visit Note
MODERN: (ซื้อ/41.00 บาท/พื้นฐาน 47.00 บาท)
โดดเด่นในธุรกิจ ปันผลสูง
SATTEL: (ซื้อ/10.20 บาท/พื้นฐาน 14.50 บาท)
ไอพีสตาร์ไม่เร็วอย่างใจ
TICON: (ซื้อ/18.30 บาท/พื้นฐาน 21.70 บาท)
แนวโน้มกำไรครึ่งปีหลังสดใส
News Comment
RS(ขาย/4.30 บาท/พื้นฐาน 3.60 บาท)
เปิดตัว บ. ย่อยใหม่ "RS Fresh Air" รุกงาน event ใน H2/50
Statistic Info
ปฏิทินหุ้น
รายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์ของผู้บริหาร
NVDR
Commodities Move
Warrants
RS: เปิดตัว บ.ย่อยใหม่ "RS Fresh Air" รุกงาน event ใน H2/50 - ขาย
" รุกงาน event กว่า 100 ล้านบาทใน 2H50 RS เปิดตัวบริษัท RS Fresh Air ซึ่งบริษัทถือหุ้น 74% และที่เหลือ 26% ถือหุ้นโดยกลุ่มของนายวินิจ เลิศรัตนชัย เพื่อทำธุรกิจจัดงานการแสดง คาดว่าจะมีคอนเสิร์ต และกิจกรรมด้านการกีฬา 7 โครงการ ทำรายได้กว่า 100 ล้านบาท ใน 2H50
" ธุรกิจเพลงถดถอย.. กีฬาอาจไม่โดดเด่นอย่างที่คาด ไม่มีข้อมูลใหม่ การรุกงานด้าน event ใน 2H50 เป็นสิ่งที่รวมอยู่ในประมาณการอยู่แล้ว ขณะที่ธุรกิจเพลงมีแนวโน้มกำไรถดถอยทั้งจากเศรษฐกิจชะลอตัว และรายได้ digital content ที่เติบโตล่าช้า รวมถึงการเน้นทำตลาดเพลงลูกทุ่งมากขึ้นในปีนี้อาจทำให้มีปัญหาสินค้าคืนกลับมาเช่นในอดีต ส่วนการถ่ายทอดฟุตบอล Euro ในปี 51 น่าจะทำกำไรให้ RS เพียง 50-60 ล้านบาท (จากสัดส่วนการถือหุ้น 50%) ซึ่งไม่ได้มีนัยมากอย่างที่ตลาดคาดการณ์
" คงคำแนะนำ "ขาย" เราคาดว่า RS จะมีกำไรจะลดลง 17% YoY เป็น 100 ล้านบาทในปี 50 และ +19% เป็น 165 ล้านบาท ในปี 51 ประเมินมูลค่าพื้นฐานที่ 3.60 บาท (PE 15 เท่า ปี 51)
พรสวัสดิ์ จิระจรัส, no.18228 pornsawatj@seamico.co.th
MODERN: โดดเด่นในธุรกิจ ปันผลสูง - ซื้อ
หุ้นลงทุนที่ให้อัตราเงินปันผลตอบแทนสูง 7-8% ต่อปี
การเป็นผู้นำที่โดดเด่นในธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ โดยเฉพาะเฟอร์นิเจอร์สำนักงาน ทำให้บริษัทมียอดขายในมือสม่ำเสมอและมีกำไรในธุรกิจ และฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง มีเพียงหนี้สินระยะสั้น (143 ล้านบาท ณ สิ้น มิ.ย. 50) สำหรับเป็นทุนหมุนเวียนในธุรกิจ จึงเชื่อมั่นว่าบริษัทจะให้อัตราเงินปันผลตอบแทน 7.6% สำหรับปี 50 (คาดเงินปันผล 3.11 บาท สำหรับทั้งปี 50 จ่ายปันผลปีละ 2 ครั้ง โดยคาดว่าจะจ่าย 1.25 บาท สำหรับผลกำไรในครึ่งแรกปี 50) และเพิ่มเป็น 8.3% สำหรับปี 51 จึงเหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว
ตลาดเฟอร์นิเจอร์สำนักงานและที่อยู่อาศัยยังมีอุปสงค์ 9.0 พันล้านบาท
ข้อมูล CBRE ณ สิ้น 1Q50 มีพื้นที่สำนักงานให้เช่าและที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมที่ว่างอยู่ 1 ล้านตร.ม. และ 9 พันยูนิต ตามลำดับ ที่คาดว่าจะมีอัตราการเช่าและใช้พื้นที่เพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้ ซึ่งจะทำให้มีความต้องการเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งตามมา หากสมมติให้ค่าเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งสำนักงาน 8.0 พันบาท/ตร.ม. และ 1.0 แสนบาท/ยูนิต สำหรับคอนโดมิเนียม พบว่าตลาดเฟอร์นิเจอร์สำนักงานยังมีความต้องการสูงถึง 8.0 พันล้านบาท และเฟอร์นิเจอร์ที่อยู่อาศัยมีมูลค่า 900 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นผลบวกต่อยอดขายของ MODERN หากตลาดในส่วนนี้มีการใช้จ่ายเกิดขึ้น เพราะบริษัทเป็นผู้นำในธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ โดยเฉพาะเฟอร์นิเจอร์สำนักงานมีส่วนแบ่งตลาด 30% เป็นอันดับ 1 (ฐานลูกค้ากว่า 50% เช่น Toyota IBM มี Royalty ในสินค้าของ MODERN) และมีส่วนแบ่งตลาดเฟอร์นิเจอร์ที่อยู่อาศัย 25% (เน้นชุดครัว มีลูกค้าโครงการหลายบริษัทเช่น LH PS และ SIRI)
Office Space & Residential Condominium
Office Market Residential Market
Office Space (mn Sqm.) 7.5 Condominium (Units) 48,000
Growth YoY 11.8% Growth YoY 9.50%
Occupancy Rate 87% Take Up Rate 81%
Vacancy (mn Sqm.) 1.00 Vacancy (Units) 9,000
Source: CBRE Market View, 1Q07
แนวโน้ม 2H50 สดใส - High season ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์+งาน Annual Sales
ด้วยมูลค่างานในมือที่มีอยู่ 300 ล้านบาทเป็นปกติ และปลายปียังเป็น High season ของธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ กอปรกับบริษัทจัดงาน Annual Sales ในไตรมาส 3/50 (16-26 ส.ค.) เราคาดว่างานนี้จะสร้างยอดขายให้บริษัทใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 100 ล้านบาท ทยอยรับรู้ใน ก.ย. - ธ.ค. นี้ จึงคาดว่ายอดขายเฟอร์นิเจอร์ในครึ่งหลังปีนี้จะโตกว่า 40% จากครึ่งปีแรกเป็น 1.6 พันล้านบาท ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ผลกำไรในครึ่งปีหลังสดใสขึ้นจากครึ่งปีแรก
SATTEL: ไอพีสตาร์ไม่เร็วอย่างใจ - ซื้อ
...รอกำไรพลิกฟื้นปี 51
ความล่าช้าในการทำตลาดไอพีสตาร์ในตลาดอินเดีย คาดว่าจะทำให้ SATTEL มีแนวโน้มขาดทุนมากกว่าคาดการณ์เดิม แต่ยังคงน่าจะพลิกกลับมามีกำไรได้ในปี 51 (แม้จะลดลงจากประมาณการเดิม 60%) การพลิกกลับมามีกำไรใน 2H50 จากกำไรการขายเงินลงทุน คงจะเป็นกันชนของราคาในระยะสั้นได้ในระดับหนึ่ง SATTEL จึงเหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว เพราะกำไรจะเร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว หากอัตราการใช้ดาวเทียมไอพีสตาร์ ก้าวผ่านจุดคุ้มทุนได้ โดยให้มูลค่าพื้นฐานใหม่ 14.50 บาท (DCF, WACC 15%) ลดลงจากเดิม 15.35 บาท/หุ้น แต่ยังคงสูงกว่าราคาปัจจุบันถึงกว่า 40% จึงยังคงแนะนำซื้อ
ตลาดอินเดียอาจล่าช้าไปถึงปี 51
การทำตลาดในประเทศอินเดีย มีแนวโน้มจะล่าช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า จากการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีที่ดูแล ทำให้มีการทบทวนสัญญาต่างๆ ใหม่ SATTEL จึงยังต้องรอนำเข้าอุปกรณ์เพื่อการติดตั้งเกตเวย์ เราจึงปรับสมมติฐานจากเดิมที่คาดว่าจะเริ่มให้บริการใน 4Q50 เป็นปี 2Q51 แทน แต่จะชดเชยด้วยยอดขายในตลาดเอเชีย อาทิ มาเลเซีย อินโดนีเซีย (ยอดขาย UT ใน 2H50 ยังมาจากออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และคำสั่งซื้อ ทศท. ที่ค้างอยู่ 1.7 หมื่นตัว) ส่งผลให้ประมาณการขาดทุนในปี 50 เพิ่มเล็กน้อยจากเดิม 759 ล้านบาท เป็น 772 ล้านบาท และยังคงคาดการณ์ว่า จะพลิกมีกำไรได้ในปี 51 แม้จะปรับลดประมาณการกำไรลงจากเดิม 60% เหลือ 40 ล้านบาทก็ตาม
กำไรจากการขาย Shenington น้อยกว่าคาด
แม้ความล่าช้าในการทำตลาดไอพีสตาร์ จะทำให้ SATTEL ยังขาดทุนจากการดำเนินงานต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปี 50 แต่จะกลับมามีกำไรสุทธิใน 3Q50 จากการรับรู้กำไรจากการขายเงินลงทุน 49% ในบริษัทเชนนิงตันฯ อย่างไรก็ดี ข้อมูลจากผู้บริหาร กำไรหลังภาษีจากการขายสินทรัพย์ดังกล่าว (งบรวม) คาดว่าจะอยู่ในราว 3.6 พันล้านบาท เทียบกับคาดการณ์ก่อนหน้าของเราที่ 4.5 พันล้านบาท ทำให้มีกำไรสุทธิ 3.7 พันล้านบาท ในปี 50
TICON: แนวโน้มกำไรครึ่งปีหลังสดใส - ซื้อ
แนวโน้มพื้นที่ให้เช่ายังเติบโตดีและมีกำไรเพิ่มจากการขายทรัพย์สิน
แม้ว่าที่ผ่านมาปัญหาการเมืองทำให้ความมั่นใจนักลงทุนต่างประเทศลดลงแต่ความต้องการพื้นที่ให้เช่ารวมของ TICON ยังคงเติบโตถึง 16% ในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา และเราคาดว่าความต้องการพื้นที่ให้เช่าจะเติบโตดีขึ้นหลังบรรยากาศการเมืองคลี่คลายลงเป็นลำดับ นอกจากนี้บริษัทยังมีกำไรจากการขายเงินลงทุน TFUND และโรงงานให้เช่าให้ TFUND ช่วยหนุนกำไรครึ่งปีหลังให้เติบโตโดดเด่น เราจึงยังแนะนำ "ซื้อ" โดยมีราคาตามปัจจัยพื้นฐาน 21.7 บาท (Sum of the Parts Valuation)
ธุรกิจ Logistic Warehouse ช่วยหนุนการเติบโต
สิ้น 2Q50 บริษัทมีพื้นที่ให้เช่าของโรงงานมาตรฐาน 374,293 ตร.ม. เติบโต 9% เมื่อเทียบกับสิ้นปีที่ผ่านมาแต่ Occupancy Rate ลดลงเป็น 84.3% จาก 90.1% ตอนสิ้นปี เพราะปัญหาการเมืองในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ลูกค้าสิงคโปร์ และสหรัฐฯ ชะลอการลงทุน ขณะที่มีลูกค้าใช้สิทธิซื้อโรงงานจำนวนมาก อย่างไรก็ตามธุรกิจให้เช่าคลังสินค้าที่บางนากม. 39 ซึ่งเพิ่งเริ่มดำเนินการปลายปีที่ผ่านมามีความต้องการเพิ่มขึ้น ทำให้พื้นที่ให้เช่ารวมทั้งสิ้น 401,434 ตร.ม. เติบโต 16.4% เมื่อเทียบกับสิ้นปีที่ผ่านมา พื้นที่ให้เช่าจึงมีการเติบโตที่ดีสวนทางกับภาวะซบเซา และผู้บริหารยังมั่นใจว่าพื้นที่ให้เช่า (ก่อนขายโรงงานให้ TFUND) รวมปีนี้จะเติบโต 30% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา สอดคล้องกับมุมมองของเรา และเราคาดว่าพื้นที่ให้เช่าจะเติบโตขึ้นเป็น 36% ในปี 51 หลังเลือกตั้ง
คาดกำไรครึ่งปีหลังจะสดใส
เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 50 ไว้ที่ 950 ล้านบาท คาดว่าครึ่งปีหลังกำไรจะเติบโตก้าวกระโดดเพราะใน 3Q50 บริษัทจะมีการบันทึกกำไรจากการขาย TFUND ให้ GE Real Estate Investment Holdings จำนวน 70-80 ล้านบาท (ก่อนภาษี) และใน 4Q50 จะมีกำไรจากการขายโรงงาน 50 แห่งให้ TFUND ซึ่งจะทำให้บริษัทกำไร (ก่อนภาษี) ประมาณ 780 ล้านบาท ทำให้กำไรจะเติบโตต่อเนื่องและสูงสุดในไตรมาส 4/50
บริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้
:lol: |
| กลับขึ้นบน |
| |