kaisel สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 3,380 | วันที่: 16/10/2007 @ 21:43:33 คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่ ผลการโหวต ในระหว่างทานข้าวกลางวัน วนิดาซึ่งเป็นซีอีโอ ถามกิตติ ผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งที่รายงานตรงต่อเธอว่า ?กิตติ พี่สังเกตุว่าคุณไม่เคย ปิดมือถือเลย แม้กระทั่งเวลาประชุม แล้วพี่ก็เห็นคุณขอตัวออกไปจากที่ประชุมกลาง คันเพื่อรับโทรศัพท์ พี่อยากรู้ว่าเป็นโทรศัพท์ของใครหรือ ทำไมมันสำคัญขนาดรอจน จบประชุมไม่ได้นะ พี่เห็นเป็นประจำเลยคะ?
กิตติมีท่าทีอึดอัด เขาตอบว่า ?ไม่มีอะไรหรอกครับ เรื่องส่วน ตัวนะครับ ผมขอโทษ?
วนิดายิ้มแบบผู้ใหญ่ใจดี เธอเงียบไปสักครู่จึงพูดต่อ ?กิตติ เราสองคนทำงานด้วยกันมาพอสมควร คิดว่าพี่เป็นพี่สาวของคุณก็ละกัน เพราะพี่อายุ มากกว่าคุณสองสามปี มีอะไรก็เล่าสู่กันฟังซิคะ เผื่อว่าพี่อาจจะแนะนำอะไรให้ได้ บ้าง? วนิดาเลือกใช้แนวทางพี่น้อง แทนที่เธอจะตำหนิเขาโดนตรงในเรื่องพฤติกรรม ที่ไม่เหมาะสมในที่ประชุม แบบเจ้านายกับลูกน้อง
วิธีนี้ได้ผล กิตติสารภาพออกมาแบบกระอักกระอ่วน ?ก็...คือ ว่า...พี่อย่าโกรธผมนะครับ มันเป็นโทรศัพท์มาจากลูกสาวผมเอง เธอเพิ่งไปเรียน ไฮสคูลที่ออสเตรเลียเมื่อไม่กี่เดือน โรงเรียนที่ลูกสาวผมเรียนนี้ค่อนข้างจะ เข้มงวด แถมมีการบ้านจมเลย ตอนลูกสาวผมเรียนที่นี่ผมช่วยติวและทำการบ้านร่วมกับ เธอบ่อยๆ ลูกคนเดียว เธอคือดวงใจของผมเลยครับ
ผมบอกเธอว่าไปอยู่นั่นติดขัดเรื่องการบ้านละก็ โทรมาหาผมได้ ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเป็นเวลาใด ผมจะคอยช่วยเหลือเธอ ผมไม่ต้องการเห็นเธอล้มเหลว ตอนค่ำเมื่อกลับบ้าน ผมก็แทบจะไม่ได้พักผ่อน แต่จะไปช่วยเธอทำการบ้านแล้วก็ แฟ๊กซ์ส่งไป เรื่องคณิตศาสตร์บ้าง ภาษาอังกฤษบ้าง ผมอยากให้เธอประสบความ สำเร็จ
ผมต้องขอโทษที่บริหารเวลาไม่ค่อยได้เรื่อง? กิตติจบเรื่องลง ด้วยท่าทีละอายใจ
วนิดาแสดงความเห็นใจ ?เรื่องของคุณมันฟังแล้วคุ้นๆมากเลย พี่พอจะจินตนาการออกถึงตวามลำบากใจของเธอ พี่เองก็มีลูกสาวเรียนปริญญาโทอยู่ที่ อเมริกา พี่ เคยทำแบบคุณเหมือนกัน เพราะลูกสาวพี่จบตรีแล้วไปต่อโทเลย จึงไม่มี ประสบการณ์ในการทำงาน ดังนั้นพอทำกรณีศึกษาก็มักจะไม่ทันเพื่อนเขา หรือไม่เข้า ใจ แถมยังไม่กล้าถามอาจารย์อีก พี่เลยต้องช่วยทำเคส แล้วก็อีเมล์ไปให้ เธอ
แต่ว่าตอนนี้ พี่ หยุดช่วยเธอแบบนั้นแล้ว ละ คะ?
กิตติถามด้วยความประหลาดใจ ?ทำไมละครับ พี่ไม่รักเธอแล้วหรือ หรือว่าพี่เห็นว่างานมีความสำคัญกว่าครอบครัวละครับ?
วนิดาตอบ พร้อมกับยิ้ม อย่างอารมณ์ดีว่า ?พี่ยังรักลูก และเห็นคุณค่าของครอบครัวและงานเหมือนเดิม พี่ โชคดีที่มีเพื่อนชาวอเมริกันคนหนึ่ง เขาสังเกตุวิเห็นวิธีที่พี่ช่วยลูกสาว แล้ว วันหนึ่งเขาก็ให้หนังสือเล่มหนึ่งชื่อ The Power of Failure โดย Charles C. Manz และมีการแปลเป็นไทยในชื่อ วิกฤติคือโอกาส โดยพสุมดี กุลมา เรียบเรียงโดย นราทิป นัยนา เพื่อนอเมริกัน เขาคั่นเรื่องๆ หนึ่งให้พี่อ่านโดยเฉพาะเลย พี่จะเล่าให้เธอฟัง
มีชายคนหนึ่งนั่งมองผีเสื้อที่กำลังดิ้นรนจะออกจากรังไหม เจ้าผีเสื้อดิ้นรนไปซักพักจนกระทั่งใยรังไหมเริ่มขาดเป็นรูเล็กๆ ชายคนนั้นมอง ด้วยความสนใจ เจ้าผีเสื้อดูเหมือนจะหยุดไป ที่จริงผีเสื้อมันพักเพื่อที่จะ ดิ้นรนต่อไป แต่ว่าชายคนนั้นคิดไปเองว่าผีเสื้อคงติดใยรังไหมไม่สามารถจะออกมา ได้ด้วยตนเอง ด้วย ความหวังดี เขาจึงนำกรรไกรขนาดเล็กมาตัดใยรังไหมนั้น ทำให้รู มันขยายใหญ่ขึ้น
เจ้าผีเสื้อเห็นรูขยายใหญ่ขึ้นมันก็คลานต้วมเตี้ยมออกมา แต่ เขาสังเกตุว่าตัวมันมีขนาดเล็กกว่าปกติ ปีกเหี่ยวย่น แถมลำตัวของเจ้าผีเสื้อก็ มีลักษณะบวมผิดปกติ
กลายเป็นว่าในขณะที่ผีเสื้อต้องดิ้นรนออกแรงตะเกียกตะกาย เพื่อพยายามจะดันตัวมันออกจากรังไหมนั้นเป็นกระบวนการธรรมชาติ ที่จะกระตุ้นให้ ของเหลวชนิดหนึ่งที่อยู่ในลำตัวผีเสื้อ เคลื่อนที่มาสู่ปีก เพื่อทำให้ปีกแข็ง แรงเพียงพอจะบินได้ ด้วย ความปรารถนาดี ของชายคนนั้น ผีเสื้อตัวนี้ปีกจึงไม่ เหี่ยวย่น ไมแข็งแรงเพียงพอจะบินได้ แถมยังมีรูปร่างพิกลพิการ เพราะของเหลวที่ ควรจะอยู่ที่ปีกดันไปติดคั่งค้างอยู่ที่ลำตัว เจ้าผีเสื้อตัวนี้ออกจากใยมาได้ ด้วยความสบาย แต่ต้องพิกลพิการ และบินไม่ได้ไปชั่วชีวิตของ มัน
อุปสรรคและความล้มเหลวในชีวิตของคนก็คล้ายๆกันกับสิ่งที่เจ้า ผีเสื้อเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ ความก้าวหน้าในชีวิต การพัฒนาทักษะ ความ กล้าหาญ ความมุ่งมั่น ล้วนแล้วแต่น่าสงสารและน่าเห็นใจ แต่จะได้คุณค่ามา ก็ด้วย การล้มเหลวอย่างถูกวิธี เราจะคาดหวังว่าจะประสบความสำเร็จ ในชีวิตโดยไม่มีความล้มเหลวนั้นเป็นไปไม่ได้ เมื่อเราเผชิญอุปสรรค แล้วเราหลีก เลี่ยงที่จะแก้ไขหรือต่อสู้กับมัน เท่ากับว่าเรากำลังเสียโอกาสสำคัญในการเรียน รู้บทเรียนที่จำเป็นอย่างยิ่ง ต่อความสำเร็จในชีวิตของ คน
กิตติฟังด้วยความสนใจ ?โอ้โฮ เรื่องนี้จุดประกายน่าดูครับ แต่ผมกลัวว่าลูกผมจะเกลียดผมนะซีครับ?
วนิดาเสริมต่อ ?มีคำพูดที่ว่า ?No pain No gain? ไม่เจ็บไม่ได้เรียนรู้ ที่จริงพวกเรานะผิด เองที่ป้อนลูกๆ เรามากไป สำหรับกรณีของพี่ พี่อธิบายให้ลูกเขาเข้าใจด้วย การเล่าเรื่องนี้แหละ หลังจากนั้นพี่ก็ขอโทษสำหรับการให้ ความช่วยเหลือลูกแบบผิดๆ ในอดีต ลูกๆของเราเขาฉลาดพอจะเข้าใจเรื่องราว เหล่านี้นะ
กิตติคุณลองมองไปรอบๆตัวเราซิ เรามีพนักงานที่มีความรู้ มา จากครอบครัวที่มีฐานะ หลายคน ที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ พวกเขาไม่อดทนต่อปัญหาและ อุปสรรค คนที่ควรถูกตำหนิคือ พ่อแม่ของ เขา
คุณอยากถูกคนอื่นเขาต่อว่าแบบนี้ในอนาคต ไหมละ แถมลูกๆของเรายังอ่อนแอไม่สามารถจะฟันฝ่าปัญหาอุปสรรคได้ คุณมีสิทธิ์ เลือกนะคะ?
:lol:
|