arthor สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 803 | วันที่: 27/11/2007 @ 09:17:59 คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่ ผลการโหวต พิสูจน์ฝีมือทิสโก้ เข็น MJD เข้าเทรดวันแรกรุ่งหรือร่วง
ลุ้นวันนี้ MJD ลงกระดานเทรดวันแรก วัดฝีมือที่ปรึกษาฯ และลีดอันเดอร์ไร้ท์ บล.ทิสโก้ งานนี้จะทำ นลท.ผิดหวังเหมือนคราว INOX หรือไม่ ด้านผู้บริหาร ยืนยันเสียงสั่นวันนี้หุ้นยืนเหนือราคาไอพีโอที่ 4.70 บาทชัวร์ แต่ไม่ยืนยันจะพุ่ง 100% เหมือนรุ่นพี่ BWG หรือไม่ ส่วนโบรกเกอร์ ไม่ฟันธงขึ้นอยู่กับความต้องการและภาวะตลาดหุ้นเป็นหลัก บล.กิมเอ็ง ให้ราคาพื้นฐาน 5.10 บาท ส่วนบล.ดีบีเอสฯ ให้ราคาพื้นฐาน 5.16 บาท
วันนี้ที่รอคอยมาถึงแล้ว สำหรับนักลงทุนที่ถือหุ้นจองของบมจ. เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ (MJD) หลังจากช่วงที่ผ่านมา หุ้นจองที่ดาหน้าเข้าเทรดไม่ว่าจะเป็น TNDT,MILL, BWG ต่างพาราเหรดราคาหุ้นพุ่งเหนือราคาจองเกิน 50% ทำให้คราวนี้นักลงทุนต่างฝากความหวังไว้ที่ MJD ว่าจะพานักลงทุนไปถึงซึ่งฝั่งฝันหรือไม่ คงต้องฝากความหวังไว้ที่ที่ปรึกษาทางการเงินและลีดอันเดอร์ไร้ท์อย่าง บล.ทิสโก้ และนี่อาจจะเป็นการพิสูจน์ฝีมือทิสโก้อีกครั้ง หลังจากเมื่อครั้งนั้นเคยทำผู้จองซื้อหุ้นไอพีโอของ INOX ผิดหวังมาแล้วรอบหนึ่ง เพราะราคาหุ้นไม่สามารถยืนเหนือราคาไอพีโอได้
สำหรับ MJD เสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวน 200 ล้านหุ้น ที่พาร์ 1.00 บาท ซึ่งจะทำให้ทุนชำระแล้วของ MJD เพิ่มจาก 500 ล้านบาท เป็น 700 ล้านบาท เงินที่ได้จะนำไปใช้พัฒนาโครงการปัจจุบันและอนาคต ใช้คืนหนี้เงินกู้ และเป็นทุนหมุนเวียน
ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ MJD คือ กลุ่มพูลวรลักษณ์ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง MJD โดยถือครองหุ้นอยู่ 499.5 ล้านหุ้น หรือ 99.9% ก่อน IPO หลังจากออกหุ้นใหม่ 200 ล้านหุ้นสำหรับ IPO แล้ว สัดส่วนการถือหุ้นของกลุ่มพูลวรลักษณ์จะลดลงเหลือ 71.36% หุ้นใหม่สำหรับ IPO ครั้งนี้คิดเป็น 28.57% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดหลังจากเพิ่มทุนแล้ว สัดส่วนการถือหุ้นที่สูงของเจ้าของเดิมคือปัจจัยความเสี่ยงที่สำคัญอันหนึ่งสำหรับผู้ถือหุ้นรายย่อย เนื่องจากผู้ถือหุ้นใหญ่สามารถควบคุมมติผู้ถือหุ้นได้เกือบทั้งหมด ยกเว้นมติพิเศษที่ต้องการเสียงในที่ประชุมมากกว่า 3 ใน 4
***ผู้บริหาร เสียงสั่นพรุ่งนี้ MJD ยืนเหนือไอพีโอ 4.70 บาท
นายสุริยน พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ MJD เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่าหลักทรัพย์ MJDที่จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) พรุ่งนี้ (27 พ.ย.50) เป็นวันแรก คงจะยืนเหนือราคาจองที่ 4.70 บาท ได้ เนื่องจากบริษัทฯ มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง
ขณะเดียวกันผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรกยังออกมาดีอีกด้วย ซึ่งคงจะทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจและเข้ามาลงทุนในหุ้นของบริษัทฯ โดย 9 เดือนแรกที่ผ่านมามีรายได้อยู่ที่ 1,300 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 180 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามยังไม่สามารถระบุได้ว่าหุ้น MJD จะให้ผลตอบแทนถึง 100% เหมือนกับหุ้นตัวอื่นๆ ที่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาด MAI เช่น บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) หรือ BWG และบริษัท มิลล์ คอนสตีลอินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ MILL เป็นต้นเนื่องจากคาดเดายาก ซึ่งไม่ต้องการให้นักลงทุนคำนึงถึงเรื่องดังกล่าวมากนัก ควรที่จะพิจารณาจากผลการดำเนินงานที่จะเติบโตในอนาคตมากกว่าผลตอบแทนที่จะได้รับจากการลงทุนในวันแรก
นายสุริยน กล่าวถึง แนวโน้มของรายได้ในปี 2550 คงจะมากกว่าปี 2549 ที่มีรายได้อยู่ที่ 1,600 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 260 ล้านบาท เนื่องจากในปัจจุบันบริษัทฯ มี backlog ในมือกว่า 3,600 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ไปอีก 2 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมาผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ถือได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
รายได้ในปีนี้น่าจะเติบโตมากกว่าปีก่อนที่ทำได้ 1,600 ล้านบาท แต่จะมากกว่ากี่เปอร์เซ็นต์ตรงนี้ยังบอกไม่ได้ ซึ่งถ้าดู 3 ไตรมาสที่ผ่านมาที่มีรายได้อยู่ที่ 1,300 ล้านบาท ก็น่าจะเห็นแนวโน้มว่ารายได้คงจะมากกว่าปีก่อนแน่นอน นายสุริยน กล่าว
สำหรับในปี 2551 มีแผนที่จะเปิดโครงการใหม่จำนวน 2 โครงการมูลค่า 6,000 ล้านบาท โดยโครงการแรกมีทำเลอยู่ที่พัทยา จ.ชลบุรี ส่วนอีก 1 โครงการมีทำเลอยู่ที่สุขุมวิท นอกจากนี้ยังมีอีก 1 โครงการที่ยังไม่ได้ข้อสรุป และยังไม่ได้รวมอยู่ในแผนงานปีหน้า
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ในอนาคตแนวโน้มของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อาจจะชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะบริษัทฯ จับกลุ่มลูกค้าระดับสูงซึ่งมีกำลังซื้อ ดังนั้นจึงไม่รู้สึกกังวลมากนัก
แนวโน้มของธุรกิจอสังหาฯ ในอนาคตก็แล้วแต่มุมมองของแต่ละบุคคล ส่วนเมเจอร์ฯ จับกลุ่มลูกค้าระดับไฮด์เอ็น ซึ่งหากจะมีผลกระทบก็ไม่ได้กระทบมาก เพราะมั่นใจว่าลูกค้ากลุ่มนี้มีกำลังซื้อที่เพียงพอ นายสุริยน กล่าว
นายสุริยน กล่าวต่อว่า จากการขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 200 ล้านหุ้น โดยเสนอราคาขายหุ้นละ 4.70 บาท มองว่าเป็นราคาที่เหมาะสม เนื่องจากบริษัทฯ มีพื้นฐานดี ทั้งเรื่องของยอดขายและโครงการที่ดำเนินการอยู่ก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ทั้งนี้เงินจากการระดมทุนจะนำไปใช้พัฒนาโครงการในปัจจุบันและอนาคต
***บล.ทิสโก้ ระบุต้องการกระจายหุ้นเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์เยอะ เหตุต้องการให้หุ้นมีเสถียรภาพและเป็นหุ้นพื้นฐานดี
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการผู้จัดการ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า ที่มีการกระจายหุ้นบริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ให้กับนักลงทุนสถาบันในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูงถึง 85 ล้านหุ้นนั้น เป็นเพราะต้องการให้หุ้นมีเสถียรภาพไม่ผันผวนและเป็นไปตามพื้นฐานของบริษัท ประกอบกับมองว่าในอนาคตเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจะทำให้มีการใช้เงินมากขึ้น โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติที่เป็นกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัท จะมีการใช้เงินมากขึ้นและส่งผลให้ธุรกิจไฮเอน สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
มองว่าแม้ตลาดหุ้นในช่วงนี้มีความผันผวนแต่นักลงทุนต่างชาติต่างมีควาามเข้าใจว่าเป็นแค่ในระยะสั้น ดังนั้นเมื่อดัชนีฯ มีการปรับลดลงก็จะเข้ามาซื้อหุ้นโดยเฉพาะในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจากการที่สำรวจมาพบว่าประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น 6% ขณะที่การจับจ่ายใช้สอยยังไม่มีออกมา ดังนั้นจึงเชื่อว่าในปีหน้าเมื่อเศรษฐกิจดีขึ้นจะช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนและทำให้สินค้าประเภทไฮเอนมีการเติบโตที่ดี นายไพบูลย์ กล่าว
*** MJD เผย Q3/50 มีกำไรสุทธิ 75.20 ลบ. เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของก่อนที่มีกำไรสุทธิ 42.81 ลบ.
บมจ.เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ (MJD) รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ของปี 2550 สิ้นสุด 30 กันยายน 2550 พบว่า มีกำไรสุทธิ 75.02 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.15 บาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 42.81 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.09 บาท
ส่วนงวด 9 เดือนแรกของปีนี้พบว่ามีกำไรสุทธิ 177.59 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.36 บาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 224.88 บาท กำไรต่อหุ้น 0.45 บาท
***เซียนหุ้น ฟันธง MJD เทรดเหนือชัวร์ เหตุพื้นฐานสนับนุน
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.นครหลวงไทย กล่าวถึงหุ้นดังกล่าวว่า มีแนวโน้มที่ราคาในวันพรุ่งนี้จะยืนเหนือราคา IPO ที่ 4.70 ได้ เนื่องจากเป็นบริษัทที่มีปัจจัยสนับสนุนจากผลการดำเนินงานในปีนี้ ที่สามารถทำออกมาได้ค่อนข้างดี โดยทั้งปี 2550 จะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 273 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 2549 ที่มีกำไรสุทธิ 261 ล้านบาท หลังจากในปีนี้บริษัทมียอดรับรู้รายได้ (BACKLOG) 5 โครงการจำนวนทั้งสิ้น 1,938 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มี BACKLOG 1,601 ล้านบาท
สำหรับในปี 2551 MJD จะมีกำไรสุทธิเติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างมาก โดยจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 511 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทจะมีรายได้จำนวนมากจาก BACKLOG ในโครงการ WATERMARK ที่มีมูลค่ามากกว่า 3,000 ล้านบาทเข้ามาช่วยสนับสนุน
ส่วนแนวโน้มของธุรกิจ MJD ในปีหน้านั้นประเมินว่าจะยังเติบโตได้ดี เพราะยังมีรายได้จาก BACKLOG เข้ามาช่วยสนับสนุน แต่ทั้งนี้ บริษัทยังมีปัจจัยเสี่ยงในธุรกิจ เพราะจะเน้นขายคอนโดมิเนียมในระดับสูงเพียงอย่างเดียว ทำให้บริษัทไม่มีการกระจายความเสี่ยงในธุรกิจ และหากในระยะยาวหากไม่สามารถสร้างยอดขายได้ก็จะส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ แนะนำให้นักลงทุนซื้อ MJD เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีผลการดำเนินงานออกมาได้ดี โดยประเมินราคาพื้นฐาน 5.05 บาท
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน กล่าวว่า บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ MJD ที่จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ไทยในวันพรุ่งนี้ว่า ราคาหุ้น MJD น่าจะยืนเหนือจองได้ เนื่องจากมองว่าราคาหุ้นไอพีโอส่วนใหญ่สามารถยืนเหนือจองได้ อาทิ บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) หรือ BWG และบริษัท มิลล์คอนสตีลอินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ MILL
***บล.กิมเอ็ง มองปีหน้า MJD แกร่งผลงานโตก้าวกระโดด ให้ราคาเหมาะสม 5.10 บาท
บทวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง ระบุว่า บมจ. เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ (MJD) เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ขนาดกลางที่มุ่งเน้นพัฒนาคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัท ได้แก่ กลุ่มลูกค้าชาวไทยที่มีฐานะดี มีรสนิยมสูง และกลุ่มนักธุรกิจชาวต่างชาติที่ทำงานในประเทศไทย ปัจจุบันบริษัทมีโครงการที่กำลังดำเนินการอยู่ 8 โครงการ ซึ่งล้วนแต่เป็นคอนโดมิเนียม มูลค่าขายรวม 1.38 หมื่นล้านบาท
ในครึ่งแรกของปี 2550 54% ของมูลค่าคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองที่ขายได้ทั้งหมดมีราคาสูงกว่า 100,000 บาทต่อตร.ม. แสดงให้เห็นว่าความต้องการคอนโดมิเนียมระดับบนยังคงมีอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับคอนโดมิเนียมระดับล่างก็ยังคงขายดี แต่คอนโดมิเนียมระดับกลางนั้นประสบกับภาวะยอดขายชะลอตัวค่อนข้างมาก เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคส่วนใหญ่ลดลง แต่กำลังซื้อของผู้ซื้อคอนโดมิเนียมระดับบนส่วนใหญ่จะไม่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจมากนัก ยกเว้นจะเกิดวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจที่รุนแรง
ถึงแม้ว่ายอดขายคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองในครึ่งแรกของปี 2550 จะลดลง 33% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและลดลง 10% จากครึ่งหลังของปีก่อนเป็น 1.63 หมื่นล้านบาท (2,686 ยูนิต) แต่เนื่องจากซัพพลายก็ลดลงตามด้วย ทำให้ไม่น่าจะต้องกังวลปัญหาเรื่องโอเวอร์ซัพพลายมากนัก ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2550 คอนโดมิเนียมที่เปิดขายในครึ่งแรกของปี 2550 ถูกขายไปแล้ว 64% ส่วน Cumulative take up rate นับตั้งแต่ปี 2546 ยังสูงถึง 80.9%
เราคาดว่าความต้องการคอนโดมิเนียมระดับบนจะดีขึ้นในครึ่งปีหลัง และจะดีต่อเนื่องในปีหน้าหลังจากได้รัฐบาลใหม่ พร้อมกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ซึ่งจะทำให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคดีขึ้น นอกจากนี้ การได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะทำให้ชาวต่างชาติมีความเชื่อมั่นและลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น อย่างไรก็ตาม โครงการที่จะประสบความสำเร็จต้องมีทำเลที่ดี มีการออกแบบ และระดับราคาที่เหมาะสม
แม้เราจะคาดว่ารายได้ปีนี้จะเติบโต 28% จากปีก่อนเป็น 2.06 พันล้านบาท แต่อัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะลดลงเหลือ 32.5% จาก 35.5% ในปีก่อน ทำให้กำไรสุทธิคาดว่าจะเท่ากับ 264 ล้านบาท (0.38 บาทต่อหุ้น) ซึ่งใกล้เคียงกับปีก่อน เราคาดว่าผลประกอบการของ MJD จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปีหน้า เนื่องจากจะมียอดขายที่ยังไม่รับรู้ยกไปปีหน้าจำนวนมาก โดยคาดว่ารายได้จะโต 89% เป็น 3.88 พันล้านบาท และกำไรสุทธิคาดว่าจะเพิ่ม 105% เป็น 539 ล้านบาทหรือ 0.77 บาทต่อหุ้น
เราประเมินราคาที่เหมาะสมของ MJD ด้วยวิธีคิดลดกระแสเงินสดอิสระ โดยใช้อัตราคิดลด 10.75% และ Terminal growth ที่ 1.5% และได้ราคาตามปัจจัยพื้นฐานที่ 5.10 บาท/หุ้น ณ ราคาที่เหมาะสม MJD จะซื้อขายกันที่ PER ปี 2551 ที่ 6.6 เท่า และ P/BV ที่ 1.5 เท่า
***บล.ดีบีเอส แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 5.16 บาท
บทวิเคราะห์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ระบุว่า บริษัททำธุรกิจที่แตกต่างจากหลักทรัพย์อื่นที่อยู่ในหมวดที่อยู่อาศัย คือ เน้นตลาดคอนโดมิเนียมระดับราคาสูงเพียงอย่างเดียวทำเลใจกลางเมือง และแต่ละโครงการก็มีรูปแบบและชื่อโครงการที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ โครงการในปัจจุบันมี 8 โครงการมูลค่าขายรวม 13,800 ล้านบาท เช่น Fullerton สุขุมวิท, Watermark เจริญนคร และ Aguston สุขุมวิท เป็นต้น ส่วนโครงการในอนาคตมีอยู่ 4 โครงการ และร่วมลงทุนกับ AIG 1 โครงการ
จุดแข็งของบริษัทคือ การเปิดขายโครงการในอดีตมาอย่างต่อเนื่อง เป็นการประกันการรับรู้รายได้ในอนาคต ณ ปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) อยู่ 3.6 พันล้านบาท ความคืบหน้าในการขายและการก่อสร้างก็เป็นไปด้วยดี คาดว่าอัตราการเติบโตกำไรสุทธิปี 50 เป็น 6% y-o-y แต่จะเติบโตมากในปี 51 ถึง 64% y-o-y สาเหตุเพราะการรับรู้รายได้ที่สูง นอกจากนี้บริษัทได้รับผลดีจากสภาวะคอนโดมิเนียมที่ขายดีในปัจจุบัน ความเชื่อมั่นผู้บริโภคดีขึ้น หลังมีการเลือกตั้ง และอัตราดอกเบี้ยงินกู้ที่ปรับลดลง กรณีเลวร้ายขายไม่ดี เปลี่ยนเป็นให้เช่าได้
แนะนำ ซื้อ ราคา IPO มีส่วนเพิ่มจากราคาพื้นฐานได้ 10% รวมกับคาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผลปี 50 และ 51 ที่ 3.3% และ 5.5% ตามลำดับ ราคาพื้นฐานคำนวณจาก P/E ปี 51 ที่ 8.0 เท่า ให้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยหลักทรัพย์เน้นคอนโดคือ LPN, AP, SIRI และ SPALI ที่ 8.8 เท่า เพราะไม่มีโครงการแนวราบช่วยกระจาย ความเสี่ยง ความเสี่ยงคือ ภาระหนี้สินสูง คือ การลงทุนในคอนโดต้องใช้เงินลงทุนมากและนาน การหาที่ดินยากขึ้น เพราะราคาสูงขึ้นโดยเฉพาะติดรถไฟฟ้า วัสดุก่อสร้างแพงขึ้นตามราคาน้ำมัน และความสำเร็จในการขายและก่อสร้าง แนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐาน 5.16 บาท
|