December 27, 2024   1:57:23 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องบันเทิงและกีฬา > "สงครามนางฟ้า"
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 14/03/2008 @ 21:02:58
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

จากใจ บ.ก. ใกล้ตัว
กลางชล

สวัสดีค่ะ

มีใครเคยได้ดู (หรือกำลังติดงอมแงมอยู่กับ... ^^) ละครโทรทัศน์อิงชีวิตจริง
ของแอร์โฮสเตสเรื่อง "สงครามนางฟ้า" กันบ้างไหมคะ : )

แม้จะไม่ใช่คอละคร แต่หากติดตามข่าวสารหรืออ่านหนังสือพิมพ์ผ่าน ๆ กันมาบ้าง
หลายคนก็คงเคยเห็นละครเรื่องนี้ได้พื้นที่โฆษณาอย่างไม่ตั้งใจจนดังกระฉ่อนไปทุกสื่อ
เพราะพนักงานของสายการบินกลุ่มหนึ่งได้ร้องเรียนผ่านสื่อว่าไม่เหมาะสม
ละครชิงรักหักสวาท กระโปรงสั้น ตบกันกระจาย เรื่องนี้ มีผลทำลายภาพพจน์
ของสายอาชีพแอร์โฮสเตสซึ่งเป็นอาชีพมีเกียรติที่หลายคนใฝ่ฝัน
และเรียกร้องขอให้ผู้กำกับปรับเปลี่ยนบท รวมทั้งการแต่งกายของพนักงานในเรื่องเสีย

เชื่อไหมคะว่า ข่าวนี้ดังไปทั่วโลกเลยทีเดียว
เพราะต่างประเทศเขาเอาไปออกกันทั้งซีเอ็นเอ็น บีบีซี รอยเตอร์ ฯลฯ
เห็นคุณนักข่าวฝรั่งซีเอ็นเอ็นเขายืนรายงานโดยมีกองถ่ายอยู่ด้านหลังสด ๆ เลยล่ะค่ะ

"สงครามนางฟ้า" เป็นเรื่องจริงของแอร์โฮสเตส ที่คุณแอร์กี่ผู้เขียนเคยเล่าไว้ในพันทิป
แม้จะเป็นเรื่องจริง แต่เนื้อหาก็ครบสูตรสำเร็จสำหรับละครฮิตติดตลาดเมืองไทย
ด้วยบทชีวิตรันทดของนางเอกสาวในสายอาชีพแอร์โฮสเตส ที่ต้องเจอมรสุมชีวิตมากมาย
ทั้งเรื่องชู้สาว ชิงรักหักสวาท แม่ผัว ลูกสะใภ้ หึงหวง และอิจฉาริษยา ตบตีกันเต็มจอ

ดูแล้วก็นึกสงสัยนะคะ ว่านางฟ้าบนสวรรค์นั้น เขามีสงครามแบบนี้กันบ้างหรือเปล่า : )

หากไม่นับสายอาชีพที่ต้องบินตลอดเวลา
รู้สึกไหมคะว่า เวลาพูดถึงนางฟ้า ภาพที่ชวนให้นึกถึงนั้น มักจะออกมาในทำนองว่า
เป็นผู้หญิงที่ดูสวย ใจดี น่ารัก อ่อนโยน มีแต่เผื่อแผ่ความเมตตาเย็นใจให้คนรอบข้าง
อย่างที่เรามักพูดเปรียบเปรยกันว่า สวยเหมือนนางฟ้า... ใจดีเหมือนนางฟ้า...

และนั่นก็อาจจะไม่ผิดจากความจริงอันเป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติแห่งกรรมวิบากนัก
เพราะรูปโฉมอันงดงามของมนุษย์นั้น ไม่ได้ถูกเสกสรรขึ้นโดยความบังเอิญ
แต่มีพื้นฐานมาจากความดีงามในจิตใจของผู้ครองเรือนร่างนั้นในกาลก่อนจริง ๆ
ผู้ที่มีจิตใจคับแคบ ไม่มีศีลมีธรรมอยู่กับตัว เต็มไปด้วยโทสะ แค้นคิดริษยาเป็นอาจิณนั้น
ย่อมไม่มีสิทธิ์ครองรูปโฉมอันชวนมองเช่นนั้นในกาลต่อไปได้เลย

แต่ความจริงก็คือ เดี๋ยวนี้ แทบจะไม่มีใครเชื่อเรื่องศีลเรื่องธรรม และกฎแห่งกรรมกันแล้ว
รูปแห่งความสวยงาม มีแต่จะกระตุ้นให้คนเกิดความรู้สึกในเชิงราคะมากกว่าอย่างอื่น
และความสวยงามก็มักกลับกลายเป็นอาวุธที่เจ้าตัวใช้ทำร้ายจิตใจคนอื่นโดยไม่รู้ตัว
ที่จะเหนี่ยวนำให้คนรอบข้างได้เกิดความรู้สึกในทางบุญกุศล ได้รับสัมผัสอันเย็นใจ
จูงใจให้คนเลื่อมใสว่าบุญทำกรรมแต่งมีจริง หรือต่อยอดความดีงามนั้น หาได้น้อยเท่าน้อย

แต่ "นางฟ้า" จริง ๆ แบบที่ใช้ชีวิตอันสุขสบายอยู่บนสรวงสวรรค์นั้น ก็มีอยู่จริงนะคะ
อย่างที่คุณดังตฤณเคยอธิบายไว้ให้ฟังว่า สวรรค์นั้นเป็นสิ่งที่ "เหนือโลก"
สวรรค์จริง ๆ ไม่ได้เกิดขึ้นเองลอย ๆ โดยปราศจากเหตุปัจจัย
แต่ถูกสร้างขึ้นด้วยบุญ และเป็นไปเพื่อรองรับกุศลจิตที่ประกอบด้วยมหากุศล

แม้ในพระไตรปิฎกก็มีปรากฏไว้ว่า นางฟ้าที่ได้กำเนิดเป็นผู้มีรูปร่างน่ารักใคร่เหล่านั้น
มีเหตุมาจากการเป็นผู้กระทำบุญกุศลไว้มาก ด้วยการทำทาน ด้วยมีใจประณีต
ในการถวายทาน ด้วยมีใจอนุโมทนา ด้วยการฝึกอินทรีย์ รักษาศีลมาก่อน

เหมือนที่เราพูดกันภาษาชาวบ้านนี่แหละค่ะว่า ทำดี ตายไปก็จะได้ขึ้นสวรรค์
บนสวรรค์นั้น ก็จะมีแต่สิ่งที่น่ารื่นรมย์ และเป็นความรื่นรมย์ปรีดาอันละเมียดละไม
ล้ำลึกเกินว่าการรับรู้ความสุขหยาบ ๆ แบบที่ผ่านสัมผัสของมนุษย์หลายเท่านัก
บนนั้นจึงมีแต่ความรื่นเริงยินดี เพียบพร้อมด้วยทิพยสมบัติอยู่อย่างนั้นราวกับไม่รู้กาลจบสิ้น

ฟังแล้วมีแรงบันดาลใจอยากรักษาศีล ทำทาน เลี้ยงใจไว้ด้วยโสมนัสแห่งบุญกุศล
เพื่อจะได้ไปเกิดเป็นนางฟ้าเทวดาเสวยสุขบนสวรรค์ในสัมปรายภพกันแล้วหรือยังคะ? : )

หากปรารถนาเช่นนั้น ก็ต้องทราบไว้ด้วยนะคะว่า
แม้แต่ความสุขบนสวรรค์ ก็ไม่เที่ยง...
ความสุขบนสวรรค์ แม้เลอเลิศเพียงใด ก็มีหมดอายุขัย มีวันแตกดับจบสิ้น...

คำสอนของพระพุทธเจ้านั้น เป็นจริงกับทุกภพทุกภูมิและทุกเมื่อทุกกาลนะคะ
"สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมดับลงเป็นธรรมดา"
ไม่ว่าสิ่งที่เสพครองอยู่นั้น จะทำให้เป็นทุกข์ เป็นสุขแค่ไหน เหมือนยาวนานเพียงใดก็ตาม
ทุกสิ่งเพียงเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และมีอันแปรเปลี่ยนไป ตามเหตุปัจจัยหนึ่ง ๆ เป็นคราว ๆ ไปเท่านั้น

ท่านจึงตรัสถามให้น้อมพิจารณาอยู่เสมอ ๆ ว่า
สิ่งใดไม่เที่ยง (มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา) สิ่งนั้นเป็นสุข หรือเป็นทุกข์?

วิธีที่จะปลดแอกตัวเองให้พ้นจากอำนาจของความเปลี่ยนแปลงแตกดับอยู่ตลอดเวลา
ของสรรพสิ่งที่เราหลงยึดและสำคัญมั่นหมาย จนเสียน้ำตากันมาหลายล้านชาติเหล่านั้นได้
จึงมีเพียงวิธีเดียว คือ ต้องมีสติรู้เท่าทันจนแจ้งในความจริงของธรรมชาติ
ว่าทุกสิ่งมีธรรมชาติที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่จิตของเราเอง
หรือที่ทางพุทธศาสนาเรามีศัพท์เทคนิคว่า "ไตรลักษณ์"
ซึ่งหมายถึงลักษณะ ๓ ประการ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือแปลอีกทีว่า
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวเรา บังคับไม่ได้

เมื่อใดที่เจริญสติภาวนาจนเข้าถึงความจริงนี้ได้ เป็นอิสระจากการหลงสำคัญมั่นหมาย
กับสิ่งชั่วคราวที่หลอกให้เราเห็นว่ามีตัวตน มีความเที่ยงแท้ถาวร
เมื่อนั้น ใจก็จะพบสุขประณีตอีกแบบหนึ่ง อันเป็นการลาขาดจากความทุกข์ได้โดยถาวร

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ท่านเคยเปรียบเปรยไว้น่าฟังดีค่ะ
ท่านบอกว่า มนุษย์เราเวลาใกล้จะตายนั้น
มักจะพากันอวยพรขอให้ได้ไปเกิดเป็นเทวดา ขอให้ได้ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นฟ้า
แต่ทราบไหมคะว่า สำหรับพวกเทวดาข้างบนนั้น
เวลาจะตาย พรรคพวกเขาจะอวยพรขอให้ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ : )

อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า มนุษย์ เป็นสุคติภูมิของเทวดา

ใช่แล้วค่ะ... ความเป็นมนุษย์ที่เราทุกคนกำลังได้โอกาสในการถือครองอยู่นี้แหละ
คือเครื่องมือสำคัญที่มีศักยภาพขนาดให้เราใช้ฟันฝ่าจนดีดตัวพ้นจากทุกข์ได้จนหมดสิ้น

หลวงพ่อท่านเคยพูดให้ฟังอย่างนี้ค่ะว่า

"มนุษย์ แปลว่า ผู้มีใจสูง ผู้มีใจประเสริฐ (รากศัพท์: มนะ = ใจ / อุษยะ = สูง)
จิตใจมนุษย์นั้นดีที่สุดเลย จิตใจมนุษย์นั้นเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงเร็ว มีทั้งดี มีทั้งชั่ว

อย่างจิตของสัตว์นรกนั้น ทุกข์เยอะเกินไป
จิตของสัตว์เดรัจฉาน หลงมากเกินไป
จิตเปรต จิตอสุรกาย โลภมากเกินไป
จิตเทวดา เพลิดเพลินในบุญ ในกุศล ในความสุข ในความสบายมากไป
จิตของพรหม ก็สงบนิ่งเกินไป

จิตมนุษย์ วิเศษที่สุด

แม้พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสรู้ในภูมิมนุษย์นี้ จิตใจของมนุษย์นั้นมันพอดี
เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย ไม่สุดโต่งไปข้างใดข้างหนึ่ง
มันทำให้เราเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ทำให้เราเห็นว่ามันมี ไตรลักษณ์

อย่างจิตพรหมนั้น จะไปดูให้เห็นไตรลักษณ์ ดูยากนะ
เพราะมันจะสงบสบายอยู่อย่างนั้นแหละ มันสงบอยู่อย่างนั้น หาไตรลักษณ์ยาก
หรือพวกเทวดา พวกนี้เป็นพวกบ้าบุญ ชอบทำบุญ ทำแล้วมีความสุข
เข้าวัดโน้น ออกวัดนี้ มีความสุขไปเรื่อย พวกนี้ก็ภาวนายาก
เพราะจะเพลิน พวกเผลอเพลินมันเยอะเกินไป
เผลอเพลินนี่ก็เป็นกิเลสชนิดหนึ่ง ชื่อนันทิราคะ มันเพลินไป
ไปนึกได้อีกที ก็ใกล้เกือบหมดอายุแล้ว ใกล้ตายแล้ว..."

ไม่มีอะไรดีเท่าการได้เกิดมาเป็นมนุษย์
โดยเฉพาะการเป็นมนุษย์ที่ได้พบและศรัทธาพระพุทธศาสนาอย่างนี้แล้วนะคะ
แม้แต่เทวดานางฟ้ายังปรารถนาลงมาใช้ชีวิตแบบเรา
คุณดังตฤณเคยเขียนผ่านตัวละครในนิยายเรื่อง "กรรมพยากรณ์" ไว้
เหมือนเป็นการฉายภาพให้เห็นข้อสรุปที่ตอกย้ำไว้อย่างชัดเจนอีกครั้งค่ะว่า

"เป็นมนุษย์นี่เลือกทำอะไรได้ยิ่งกว่าภพภูมิไหน ๆ ทั้งหมด
อยากเสวยสุขสนุกพิสดารหลากหลายไม่ซ้ำซากจำเจ ก็ต้องที่นี่
อยากเปลี่ยนนิสัยที่สั่งสมข้ามภพข้ามชาติมานาน ก็ต้องที่นี่
อยากช่วยคนเอาบุญหวังสวรรค์ ก็ต้องที่นี่
อยากสั่งสมเสบียงเตรียมเดินทางไกล
ไปในท่ามกลางอันตรายของการเวียนว่ายตายเกิด ก็ต้องที่นี่
หรือกระทั่งอยากถึงความสิ้นสุดทุกข์ ก็ต้องที่นี่?"

ละครเรื่อง สงครามนางฟ้า ก็จะยังคงชิงรักหักสวาทกันไปจนกว่าจะถึงตอนอวสาน
นางฟ้าตัวจริงบนสรวงสวรรค์ ก็ยังคงเพลิดเพลินเริงรื่นกันต่อไปจนกว่าจะหมดอายุขัย
เรา... เหลือเวลาในชีวิตมนุษย์บนโลกนี้อีกเพียงน้อยนิด ก็จะแตกดับไปเฉกเช่นเดียวกัน

พระพุทธเจ้าตรัสว่า "เอาชนะข้าศึกเป็นพันในสงคราม ไม่เท่าเอาชนะใจตนเองครั้งเดียว"
สงครามภายนอกนั้น แม้รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ก่อเวร และไม่มีวันจบสิ้น
หากหันมาทำสงครามภายใน เอาชนะกิเลสได้จนสิ้น ก็ย่อมเป็นที่สุดแห่งสงครามทั้งปวง
และสนามรบที่เอื้อที่สุดต่อธงชัยแห่งสงครามกิเลสก็อยู่ตรงนี้แล้ว ที่นี่... ที่ความเป็นมนุษย์


:lol:

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com