|
|
|
Chaipat สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 7 | วันที่: 17/05/2013 @ 18:37:25 คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่ ผลการโหวต นักลงทุนส่วนใหญ่ต้องการที่จะทำกำไรให้ได้มากที่สุด และลดผลขาดทุนให้ได้น้อยที่สุด ซึ่งไม่มีกลยุทธ์การลงทุนใดที่จะรับประกันสิ่งที่นักลงทุนส่วนใหญ่ต้องการได้ เพราะทุกการลงทุนจะมีความเสี่ยงซึ่งจะนำไปสู่การขาดทุนได้ แต่มีหลักการง่ายๆ อยู่ 5 ข้อ ที่จะช่วยให้คุณลงทุนอย่างประสบความสำเร็จบรรลุเป้าหมาย และพบความสงบในจิตใจได้
ลงทุนระยะยาว เพื่อให้ตะกร้าคุณใหญ่ขึ้น
มีคำพูดที่ว่า “อย่าใส่ไข่ทุกฟอง ไว้ในตะกร้าใบเดียว” ซึ่งหมายความว่า ให้เรากระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์ต่างๆ แต่ด้วยการลงทุนระยะยาวจะทำให้ตะกร้าใบนี้ใหญ่กว่าใบอื่นๆ เนื่องจากไข่ในตะกร้าเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ การลงทุนระยะยาวจะใช้ประโยชน์ของดอกเบี้ยทบต้นอย่างเต็มที่ ด้วยการนำผลกำไรที่ได้ ไปลงทุนต่อ (reinvested) อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ยิ่งคุณใช้เงินทำงานนานเท่าไร คุณจะตื่นเต้นกับผลกำไรที่คุณได้มากขึ้นเท่านั้น ด้วยระยะเวลาที่คุณมี (ก่อนการเกษียณ) คุณไม่จำเป็นต้องเป็นนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ ก็สามารถประสบความสำเร็จจากการลงทุนได้
ทนกับความเจ็บปวดในระยะสั้น เพื่อสร้างผลกำไรในระยะยาว
การอยู่กับความผันผวนของตลาดหุ้นเป็นเรื่องง่ายรึป่าว สมมติว่า เราลงทุน 100,000 บาทในตลาดหุ้นอยู่มาวันนึงหุ้นตกระเนระนาด คุณเสียกำไรไปทั้งหมดรวมถึงมูลค่าที่ทบต้นมาด้วย มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะทนไหว เมื่อเราเห็นการขาดทุนหนักๆแบบนี้ เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ตลาดการเงินนั้นมีความผันผวน แต่มีหลักสำคัญอย่างนึงที่คุณควรระลึกไว้เสมอว่า ด้วยระยะเวลาที่นานพอและคุณได้กระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์ เช่น หุ้น พันธบัตร จะช่วยลดการขาดทุน และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรอีกด้วย แม้ว่าผลงานในอดีตไม่ได้รับประกันผลในอนาคต แต่ด้วยระยะเวลาที่นานพอ ผลงานในอดีตของหุ้นปรับตัวขึ้นเสมอ เช่น หลังวิกฤต subprime หุ้นไทยก็เป็นขาขึ้นมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ด้วยหลายๆสินทรัพย์ที่คุณมี คุณไม่จำเป็นต้องทำนายเวลาที่จะเข้าตลาด หรือต้องกังวลใจว่าเมื่อไรควรจะออกซะที ให้เวลาที่คุณมีเป็นตัวช่วยคุณดีกว่า
สร้างความมั่งคั่ง ด้วยการจัดสรรเงินลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ (Asset Allocation)
การจัดสรรเงินลงทุนไปในสินทรัพย์ต่างๆ โดยพื้นฐานแล้วจะเป็น หุ้น พันธบัตร เงินสดเป็นหลัก มีเหตุผลที่สำคัญอยู่ ว่าทำไมเราต้องทำการจัดสรรเงินลงทุน การผสมกันของสินทรัพย์หลายประเภท เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ผลกำไรโดยรวมของคุณมากขึ้น ซึ่งหมายความว่า การที่คุณตัดสินใจว่าจะแบ่งเงินลงทุนไปที่ หุ้น พันธบัตร เงินสด อย่างละเท่าไรสำคัญกว่าที่คุณจะเลือกหุ้นตัวไหนมาลงทุนซะอีก และการที่คุณจัดสรรการลงทุนในหลายสินทรัพย์จะช่วยลดผลขาดทุน และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้ในระยะยาว เมื่อมีเหตุการณ์เข้ามากระทบผลตอบสนองของแต่ละสินทรัพย์จะไม่เหมือนกัน ในช่วงเวลาเดียวกัน เช่น ในปีที่เกิด subprime เป็นปีที่หุ้นทำผลงานได้ไม่ดี แต่ผลตอบแทนจากพันธบัตรดีมาก ผลตอบแทนที่เราได้จากพันธบัตรจะช่วยลดผลกระทบให้กับพอร์ตการลงทุนของเราได้
การทยอยลงทุน (Dollar Cost Averaging) ลงทุนให้บ่อยและสม่ำเสมอ
การทยอยการลงทุนเป็นวิธีการสะสมหน่วยลงทุน โดยทำการซื้อหน่วยลงทุนเป็นประจำ (ซื้อทุกๆ เดือน 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี) ตลอดระยะเวลาการลงทุน เมื่อตลาดขาขึ้นเราได้หน่วยลงทุนน้อย เมื่อตลาดขาลงเงินจำนวนเดียวกัน จะทำให้เราได้หน่วยลงทุนมากขึ้น การทยอยลงทุนจะช่วยลดความเสียหายเมื่อตลาดหุ้นตก และเพื่อผลลัพธ์ที่ดีคุณต้องลงทุนแม้ว่าขณะตลาดไม่ดี หลักการลงทุนที่ตรงข้ามกับการทยอยลงทุนคือการพยายามทำนายตลาด โดยธรรมชาติของหุ้นระยะสั้นจะขึ้นๆลงๆ เป็นเรื่องยากมากๆ ที่เราจะรู้ว่าจุดต่ำสุดอยู่ตรงไหนแล้วเกหมดหน้าตัก โดยปกติแล้วการพยายามทำนายตลาดไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่ดีนัก และเป็นการเพิ่มความเครียดให้กับตัวคุณเองโดยไม่จำเป็น เช่นปีที่แล้วตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น 40% นักลงทุนโดยเฉลี่ยทำผลงานสู้ตลาดไม่ได้ การสร้างวินัยการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยสร้างผลกำไรให้อย่างอัตโนมัติ
ซื้อแล้วถือ อย่าซื้อแล้วลืม
การลงทุนให้สำเร็จ เราต้องตรวจสอบการลงทุนเป็นครั้งคราว (ตรวจสอบทุกๆ เดือน 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี) เช่น เมื่อหุ้นร้อนของเราในอดีตตอนนี้ถูกจับแช่แข็งไปแล้ว หรือสถานการณ์เศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะหรือถึงแม้ว่าไม่มีอะไรแย่ๆ เกิดขึ้น สัดส่วนการลงทุนคุณอาจเปลี่ยนไป เช่นในตอนเริ่มลงทุนคุณตั้งจัดพอร์ตหุ้น:พันธบัตร ในสัดส่วน 70:30 ระยะเวลาผ่านไป 1 ปี ตลาดหุ้นปรับตัวสูงขึ้น สัดส่วนการลงทุนเปลี่ยนไปเป็น 78:22 คุณทำการปรับสัดส่วนการลงทุน (rebalance) ให้เป็นแบบเดิมที่ตั้งใจไว้ จะเป็นการขายทำกำไรในหุ้นมาเก็บไว้ที่พันธบัตร และเป็นการช่วยลดความเสี่ยงถ้าหากหุ้นตก สัดส่วนการลงทุน 78:22 จะเสียหายมากกว่า (ในทางกลับกัน ถ้าหุ้นทำผลงานได้ไม่ดี ทำให้พอร์ตคุณมีสัดส่วน 65:35 คุณปรับพอร์ตให้เป็น 70:30 อย่างที่ตั้งใจไว้ คุณจะได้หุ้นที่ราคาถูก ทำให้เป็นการซื้อถูกขายแพงอัตโนมัติ) ด้วยการปรับสัดส่วนการลงทุนจะช่วยให้พอร์ตการลงทุนของเราเติบโตกว่าที่ตั้งใจไว้ อีกเหตุผลนึง ที่เราต้องตรวจสอบการลงทุน คือ เมื่อเวลาและสถานการณ์เปลี่ยนแปลง เราต้องปรับสัดส่วนการลงทุนเพื่อรับสถานการณ์นั้น เช่น เมื่อคุณใกล้ที่จะเกษียณอายุ คุณตัดสินใจที่จะลดความเสี่ยงจากการลงทุน เพื่อนำดอกผลที่ได้จากการลงทุนมาใช้จ่ายอย่างสม่ำเสมอ มากกว่าการที่ต้องเสี่ยงมากๆเพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูงๆ ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเสียเงินต้นไป คุณต้องปรับพอร์ตด้วยการลดสัดส่วนหุ้นลง เน้นความปลอดภัยมากขึ้น
ชัยภัทร จารุชาต
Retirement Financial Planner
chaipat.jar@gmail.com
แก้ไขโดย: kaisel วันที่: 17 พฤษภาคม 2556 @ 19:16:49
|
| กลับขึ้นบน |
matrix สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 347 | #1 วันที่: 03/06/2013 @ 09:25:34 : ขอบคุณสำหรับความรู้ดีดีคับ |
| กลับขึ้นบน |
dookdui สมาชิก
จังหวัด: เชียงใหม่ โพสต์: 8 | #2 วันที่: 23/05/2014 @ 09:19:53 : |
| กลับขึ้นบน |
firstcy สมาชิก
จังหวัด: นครราชสีมา โพสต์: 64 | #3 วันที่: 17/02/2015 @ 21:21:23 : |
| กลับขึ้นบน |
firstcy สมาชิก
จังหวัด: นครราชสีมา โพสต์: 64 | #4 วันที่: 10/12/2015 @ 22:12:11 : |
| กลับขึ้นบน |
| |