ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 1 ธ.ค.63 ปิดที่ 1,420.87 จุด เพิ่มขึ้น 12.56 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 78,416.50 ล้านบาท หุ้นซื้อขายสูงสุด KBANK ปิด 112.50 บาท บวก 2.50 บาท, PTT ปิด 41 บาท บวก 1 บาท, ADVANC ปิด 178 บาท บวก 2.50 บาท, GPSC ปิด 69.50 บาท ลบ 0.75 บาท และ SCB ปิด 88.25 บาท บวก 2.75 บาท

บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ออกบทวิเคราะห์ระบุว่า ขณะนี้มีสถาบันการเงินขนาดใหญ่กว่า 100 แห่งทั่วโลก (ธนาคาร, บริษัทประกัน, บลจ.ฯลฯ) ได้ขายธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับถ่านหินทิ้ง (เหมืองถ่านหิน, โรงไฟฟ้าถ่านหิน) เนื่องจากมองว่าไม่ได้อยู่ในกลุ่มธุรกิจด้านความยั่งยืน (ESG)

ขณะที่ บลจ. ยักษ์ใหญ่ระดับโลกหลายแห่งได้กำหนดเกณฑ์บริษัทที่จะเข้าลงทุน ต้องมีสัดส่วนรายได้จากถ่านหินไม่เกิน 20-25% ถือว่าเข้าข่ายเป็นหุ้น ESG ซึ่งเคจีไอเชื่อว่าสัดส่วนรายได้จะเข้มงวดมากขึ้นในอนาคต เพื่อสะท้อนถึงการเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ (สหรัฐฯและยุโรปภายในปี 93)

และถึงแม้ขณะนี้จะไม่มีข้อมูลโครงสร้างรายได้จากโรงไฟฟ้าถ่านหิน แต่หากพิจารณาในแง่กำไรจากธุรกิจหลัก และกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น งวด 9 เดือน ปี 63 พบว่า 4 บริษัทมีกำไรจากธุรกิจถ่านหินสูง (มากกว่า 30%) ได้แก่ BPP, RATCH, WHAUP และ EGCO

ดังนั้น โรงไฟฟ้าที่มีสัดส่วนกำไรจากโรงไฟฟ้าถ่านหินสูง และ มีสัดส่วนการถือครองหุ้นต่างชาติ และ NVDR สูงอาจเผชิญแรงเทขายของต่างชาติ ซึ่งหุ้นทั้ง 4 ตัวได้เผชิญแรงเทขายจากต่างชาติมาตั้งแต่ปี 61 แล้ว จาก 2 ประเด็นนี้

โดย BPP มีสัดส่วนสูงที่สุดใน 2 ประเด็นนี้ แต่เนื่องจากสัดส่วนการถือครองหุ้นของต่างชาติบวกกับ NVDR ขณะนี้เหลือต่ำเพียง 2.20% (ณ 27 พ.ย.63) ความเสี่ยงด้าน downside จากการถูกต่างชาติขายหุ้นออก จึงไม่มากแล้ว ส่วนหุ้น RATCH และ EGCO ก็ถูกกระทบจากการขายของต่างชาติ

เมื่อใช้ discount 25% เพื่อสะท้อนถึงการปรับลดมูลค่าหุ้นที่ รวมประเด็น ESG แล้ว ดังนั้นจึงยังคงให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ Neutral โดยปรับลดราคาเป้าหมายของ BPP ปี 64 ลงเหลือ 14 บาท และปรับคำแนะนำจากถือเป็นขาย และปรับลดราคาเป้าหมาย EGCO, GPSC, GULF, RATCH และ WHAUP ลงด้วยเพื่อสะท้อนมูลค่า หุ้นที่คำนึงถึงประเด็น ESG แล้ว

ทั้งนี้ เลือก BGRIM, GULF และ GPSC เป็นหุ้นเด่นกลุ่มนี้!!

อินเด็กซ์ 51