ดัชนีหุ้นไทย 6 ม.ค.64 ปิดที่ 1,492.36 จุด ลดลง 14.29 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 142,327.03 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,573.35 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด EA ปิด 62 บาท ลบ 2 บาท, KCE ปิด 46.75 บาท บวก 2.25 บาท, IRPC ปิด 4.04 บาท บวก 0.20 บาท, GPSC ปิด 79.75 บาท ลบ 5 บาท และ IVL ปิด 37.50 บาท ลบ 1.75 บาท

หุ้นไทยโดนแรงเทขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ราคาทะยานปรับขึ้นเร็วแรงวันก่อน ขณะที่หุ้น DELTA โดนเข้า cash Balance แล้วเริ่มตั้งแต่ 6-26 ม.ค.นี้ กดให้ราคาหุ้นลดความร้อนแรงลง ขณะที่สถานการณ์โควิดทั่วโลกรวมทั้งไทยยังน่ากังวล

มีข่าว “วรสินี เศรษฐบุตร” ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ สายธุรกิจธนบดี ธนาคารทิสโก้ เผยว่า แม้ภาพรวมการลงทุนในปี 63 จะยากลำบาก แต่ด้วยกลยุทธ์การลงทุนของธนาคารทิสโก้ ที่เน้นให้คำแนะนำลูกค้าเวลธ์ โดยเลือกลงทุนในกองทุนที่เกี่ยวข้องกับหุ้นเมกะเทรนด์แทนการกระจายสินทรัพย์การลงทุนไปยังรายประเทศนั้น

ส่งผลให้ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา หากลูกค้าลงทุนใน 5 กองทุนเมกะเทรนด์ตามคำแนะนำ จะมีโอกาสรับผลตอบแทนเฉลี่ย 65.71% และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในหุ้นไทยราว 74.89% เนื่องจากในช่วงเวลาเดียวกัน ดัชนีหุ้นไทยซึ่งไม่มีความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน และมีความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) ให้ผลตอบแทนติดลบ 9.18%

สำหรับกองทุนเมกะเทรนด์ 5 กองทุนที่แนะนำในปี 63 ได้แก่ 1.กองทุนเปิด ทิสโก้ โกลบอล ดิจิตอล เฮลธ์ อิควิตี้ (TGHDIGI) 2. กองทุนเปิด ทิสโก้ ไบโอเทคโนโลยี เฮลธ์แคร์ (TBIOTECH) 3.กองทุนเปิด ยูไนเต็ดเอ็ดดูเคชั่น เทคโนโลยี ฟันด์ (UEDTECH) 4.กองทุนเปิด วรรณ โกบอล อีคอมเมิร์ซ (ONE-GECOM) 5.กองทุนเปิด ทิสโก้ Cloud Computing อิควิตี้ (TCLOUD)

ส่วนกลยุทธ์การลงทุนปี 64 นั้น เชื่อว่าหุ้นกลุ่มเมกะเทรนด์จะยังสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวได้ แต่การลงทุนระยะสั้นถึงระยะกลาง ต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนั้น ช่วงเดือน ม.ค.นี้ ทิสโก้จะเริ่มแนะนำกลยุทธ์การลงทุนใหม่!!

อินเด็กซ์ 51