ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 8 ก.พ.64 ปิดที่ 1,516.43 จุด บวก 19.82 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 94,278.81 ล้านบาท ต่างชาติพลิกกลับมาซื้อสุทธิ 4,186.25 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด BBL ปิด 129.50 บาท บวก 6.50 บาท, KBANK ปิด 147 บาท บวก 9 บาท, PTT ปิด 40.25 บาท บวก 1.25 บาท, IVL ปิด 41.25 บาท บวก 3 บาท, SCB ปิด 106 บาท บวก 6.50 บาท

ตลาดหุ้นไทยและภูมิภาคปรับตัวขึ้น จากความคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ หลังวุฒิสภาสหรัฐฯเห็นชอบงบประมาณ โดยหุ้นไทยได้แรงหนุนจากแรงซื้อหุ้นแบงก์และพลังงาน

บล.เอเซียพลัส ออกบทวิเคราะห์ แนะนำว่า ช่วงเดือน ก.พ.-เม.ย. ต้องมีหุ้นปันผลติดพอร์ต ระบุว่าในยามที่ Bond Yield อายุ 1 ปี ของไทยลงมาต่ำกว่าปกติอยู่ที่ 0.44% ต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% (ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และต่ำกว่าปีที่ผ่านมามาก) ดังนั้น เม็ดเงินน่าจะไหลเข้าตลาดตราสารหนี้จำกัด และมีโอกาสย้ายไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น รวมถึงดอกเบี้ยนโยบายมีโอกาสต่ำอีกนาน

ดังนั้นหนึ่งในเป้าหมายการลงทุนน่าจะเป็นหุ้นปันผลสูงยิ่งกว่านั้นหุ้นปันผลมักจะ Outperform เด่นช่วง 4 เดือนแรกของปีเสมอ สะท้อนจากสถิติในอดีตช่วงที่ตลาดอยู่ในภาวะปกติ (58-62) พบว่า ช่วง 4 เดือนแรกของปี SETHD TRI (ดัชนีหุ้นปันผลที่มีการจ่ายปันผลติดต่อกัน 3 ปี และมี Dividend Yield สูงสุด 30 อันดับแรกที่มีการบวกเงินปันผลจ่ายกลับเข้ามา) ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 10.61% (เป็นบวกทุกเดือน)

และ Outperform กว่า SET TRI (ดัชนี SET ที่มีการบวกเงินปันผลจ่ายกลับเข้ามา) ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 6.44%และเฉพาะช่วง ก.พ., มี.ค. ดัชนี SETHD TRI มัก Outperform ตลาดฯ และให้ผลตอบแทนเฉลี่ยชนะตลาด

ดังนั้น กลยุทธ์ลงทุนจึงเลือกหุ้นปันผลเด่นทั้งในและนอก SET HD ที่ผ่านเงื่อนไขดังนี้ เป็นหุ้นที่มี Dividend Yield > 3.5% ต่อปี เป็นหุ้นที่ฝ่ายวิจัยฯแนะนำ “ซื้อ” และมี Upside

ได้หุ้นดังนี้ ชุดแรกเป็นหุ้นใหญ่ที่อยู่ใน SETHD ได้แรงหนุน หาก Fund Flow ไหลเข้าคือ TISCO–APRATCH–PTTEP– INTUCH–SCC–CPF–PTT ส่วนชุดที่สอง แม้เป็นหุ้นอยู่นอก SETHD แต่มีปันผลสูง พร้อมกับปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้ DCC– MCS–SCCC–SPALI–TU–EASTW–SAPPE และ M!!

อินเด็กซ์ 51