หลังจากบาดแผลโควิดของบริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY เริ่มดีขึ้น…แม้ไม่หายขาดซะทีเดียว แต่อย่างน้อยแผลฉกรรจ์ก็หยุดเลือดไหล อยู่ในช่วงการฟื้นตัว ฟื้นพละกำลัง ซึ่งปีนี้สถานการณ์น่าจะดีขึ้น..!!

หลังจากปีที่แล้วมีการปรับโครงสร้างบริหารจัดการ โดยเฉพาะการลดต้นทุน จากเดิมมีรายจ่ายตกเดือนละ 80 ล้านบาท ลดเหลือ 30 ล้านบาท แต่เป้าหมายต้องการให้ต่ำกว่า 30 ล้านบาท

รวมทั้งการปรับโมเดลธุรกิจ จากเดิมเน้นจับตลาดคนเมือง ขายในห้างสรรพสินค้า ก็หันไปจับตลาดต่างจังหวัด ผ่านร้านขายของชำต่าง ๆ มากขึ้น และอาศัยมาตรการภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นคนละครึ่ง เราชนะ ช่วยกระตุ้นยอดขาย ด้วยการออกโปรดักส์ใหม่ในราคาที่เหมาะสม ชาวบ้านเอื้อมถึงได้

ทำให้ปลายปีที่แล้ว โดยเฉพาะไตรมาส 4/2563 เริ่มเห็นกำไรเลือนรางอยู่ที่ 18 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3/2563 ที่ขาดทุน 22 ล้านบาท

ในแง่ยอดขายก็กระเตื้องขึ้น อยู่ที่ 190 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.74% จากไตรมาส 3/2563 ทำได้ 185 ล้านบาท

ทำให้ผู้ถือหุ้นใจเริ่มเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์มากขึ้น…หลังจากต้องทนอยู่กับความมืดมิดมาพักใหญ่

ปีนี้จึงถูกคาดหวังว่า BEAUTY จะกลับมามีกำไรอีกครั้ง..!!

โดยผู้บริหาร BEAUTY ตั้งเป้าปีนี้รายได้โต 5% จากปีก่อน และรักษาอัตรากำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 5% และอัตรากำไรขั้นต้นไม่น้อยกว่า 50%

จากความคาดหวังดังกล่าว มีโอกาสเป็นไปได้ จากการฉกฉวยเกาะกระแสกัญชงและกัญชาฟีเวอร์ ถือโอกาสเพิ่มโปรดักส์ใหม่ ๆ เข้ามา

เห็นได้ชัดจากมติบอร์ดเมื่อวันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา มีการปรับเปลี่ยนวัตถุประสงค์ของบริษัท จากเดิมจำกัดอยู่แค่ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง เพิ่มเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีส่วนผสมของกัญชง กัญชา กระท่อม และพืชเสพติดอื่น ๆ เป็นส่วนประกอบ…

แต่ต้องรอผู้ถือหุ้นคอนเฟิร์มอีกที วันที่ 11 มี.ค.นี้…ถ้าให้เดาก็คงไฟเขียวโลดดดด

แหม๊…ถ้าดูจากวัตถุประสงค์ใหม่แล้ว บ่งบอกว่า BEAUTY ใส่เกียร์ลุยกัญชง-กัญชา เต็มที่เลยนะเนี่ย…

นี่ก็แว่วมาว่า ไปซุ่มเจรจากับโรงงานสกัดแห่งหนึ่ง (ไม่ต้องเอ่ยนามก็น่าจะพอเดาได้ว่าเป็นใคร) ไว้เรียบร้อยแล้ว

รอแค่ภาครัฐไฟเขียว ก็พร้อมลุยได้ทันที…

BEAUTY จึงเป็นอีกบริษัทที่กำลังเข้าทำเนียบหุ้นสายเขียวแล้วน่ะสิ..!?

ก็ต้องติดตามจากการเกาะกิ่งกัญชง-กัญชาฟีเวอร์ครั้งนี้ จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้ BEAUTY ในอนาคตมากน้อยแค่ไหน..? ยังต้องรอระยะเวลาพิสูจน์

แต่อย่างน้อย ๆ การที่ BEAUTY หันมาเดินทางสายเขียว ก็ดีกว่าเป็นหุ้นสวยสังหารที่ตามหลอกหลอนนักลงทุนแหละน่า…

ใช่ปะคะ “หมอสุวิน ไกรภูเบศ”…

…อิ อิ อิ…