ดัชนีหุ้นไทย 28 มิ.ย.64 ปิดที่ 1,579.17 จุด ลดลง 3.50 จุด มี มูลค่าการซื้อขาย 68,835.44 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,258.66 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด AOT ปิด 62 บาท ลบ 1.50 บาท, BDMS ปิด 23.10 บาท ลบ 0.60 บาท, GUNKUL ปิด 4.82 บาท บวก 0.12 บาท, KBANK ปิด 119.00 บาท ลบ 1 บาท และ RCL ปิด 51 บาท บวก 3 บาท

บล.เอเซียพลัสประเมินมาตรการรัฐล็อกดาวน์ 10 จังหวัด ตั้งแต่วันที่ 28 มิ.ย.64 ถึง 27 ก.ค.64 (30 วัน) หลักๆคือปิดสถานที่พักแรงงานก่อสร้าง, ร้านอาหารให้เปิดเฉพาะการสั่งกลับบ้านเท่านั้น, ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า Community mall เปิดได้ไม่เกิน 21.00 น., งดจัดกิจกรรม รวมกลุ่มเกิน 20 คน

ประเมินผลกระทบแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ คาดว่าจะทำให้อนาคตน่าจะลดจำนวนผู้ติดเชื้อได้ แต่ในช่วง 3Q64 จะกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยและตลาดหุ้น และสร้าง Downside คือ

1.เศรษฐกิจไทย เอเซียพลัสประเมิน จะทำให้กิจกรรมเศรษฐกิจในงวด 3Q64 ชะลอตัวลง และส่งผลให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในงวด 3Q64 เช่น ยิ่งใช้ยิ่งได้ และคนละครึ่งเฟส 3 มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจลดลง เพราะช่องทางการใช้จ่ายของประชาชนจะถูกจำกัดมากขึ้น และอาจมีการเพิ่มความท้าทายต่อแผนการเปิดประเทศภายใน 120 วันของรัฐได้เช่นกัน

โดยประเมิน 10 จังหวัดที่ Lockdown มีสัดส่วน GDP รวมกัน ราว 49.2% ของทั้งประเทศ เบื้องต้นพบว่าการ Lockdown จะกระทบ ต่อ GDP รวมทั้งประเทศราว 1.52% คาดว่าจะส่งผลให้ GDP ไทยงวด 2-3Q64 ชะลอตัวลงและมีโอกาสติดลบทั้ง %qoq และ %yoy ก่อนที่จะไปฟื้นงวด 4Q64 เนื่องจากฐานงวด 3Q63 ที่ค่อนข้างสูง

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า GDP น่าจะไม่ชะลอไปมากเท่าปี 63 เนื่องจากปีนี้ส่งออกที่มีแนวโน้มฟื้น ธปท.คาดขยายตัวทั้งปี 64 ที่ 17% อาจมาช่วยหักล้างการชะลอตัวลงของ GDP ปี 64 ได้ในบางส่วน

2.ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับฐาน โดยหุ้นที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย กลุ่มห้างสรรพสินค้า กลุ่มค้าปลีก ดังนั้น ภาพรวมเชื่อว่าอาจเห็นแรงกดดันต่อราคาหุ้น จากแนวโน้มมาตรการที่เข้มงวดขึ้น และการระบาดที่ยังมีผู้ติดเชื้อในประเทศสูงต่อเนื่อง แต่ผลกระทบต่อกำไรปัจจุบันยังค่อนข้างจำกัด จึงประเมินเป็นโอกาส “ทยอยซื้อสะสม” หลังราคาตอบรับประเด็นดังกล่าว โดยเฉพาะกลุ่มที่ยังเห็นการเติบโตของกำไรที่สูงรองรับ SPVI, COM7 และ DOHOME!!

อินเด็กซ์ 51