December 26, 2024   5:32:04 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องสาระน่ารู้ > เสี่ยยักษ์ (2-3)
 

ANTPOWER
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 100
วันที่: 10/05/2011 @ 12:37:50
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ตอนที่ 2 ปูมหลัง "เซียนหุ้นอยุธยา"

กว่าจะเดินมาถึงจุดที่เป็น "เซียนหุ้นพันล้าน" วิชัย วชิรพงศ์ ต้องผ่านการคิดทบทวนตัวเองมานับครั้งไม่ถ้วน สัญชาตญาณของความเป็น "เสือ" อาจติดตัวมาแต่กำเนิด แต่สัญชาตญาณในการ "ล่า" ต้องหมั่นฝึกฝนสร้างประสบการณ์ ....ถ้าในโลกนี้ ใครได้อะไรมาง่ายๆ ก็ยากที่จะรักษาให้มันอยู่กับเราได้อย่างยั่งยืน

ต้นทางชีวิตของ วิชัย วชิรพงศ์ เขาเกิดเมื่อปี 2498 ปัจจุบันมีอายุ 52 ปี พื้นเพเดิมเป็นคนตำบลบ้านแพน อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา บิดาของวิชัยเป็นเจ้าของโรงงานทำเส้นหมี่ ยี่ห้อสิงห์ทอง เริ่มก่อตั้งโรงงานประมาณ ปี 2500 วิชัยจึงคลุกคลีในโรงงานทำเส้นหมี่มาตั้งแต่เด็ก เขาเชื่อมั่นมาตลอดว่า ต้นทางของความสำเร็จ มีจุดสตาร์ทมาจาก "ความคิด"...ถ้าคุณ "คิดเป็น" เลือกเส้นทางเดินให้ถูก ชีวิตก็ประสบความสำเร็จได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

วิชัยนึกถึงความหลังในวัยหนุ่ม แล้วถ่ายทอดให้ฟังว่า...ผมเรียนจบคณะเกษตรศาสตร์ สาขาสัตวบาล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) สมัยที่เรียนอยู่มช. มันมีถนนหน้า และหลังมหาวิทยาลัย ความที่เราไม่มีประสบการณ์ จึงไม่รู้จักแสวงหาโอกาส ...สมัยนั้นนักศึกษาทุกคนที่จะกลับหอพัก ต้องออกทางถนนด้านหน้ามหาวิทยาลัย ถ้าใครกลับด้านหลัง อาจจะโดนจี้ปล้นได้ สมัยก่อนแถวนั้นมันเปลี่ยว ที่ดินด้านหลังมช. จึงมีราคาถูกมาก แต่ทุกวันนี้ถนนด้านหลังมช. กลายเป็นถนนสายหลัก วิชัย บอกว่า เมื่อมองย้อนกลับไป ถ้าตอนนั้นเรารู้จัก "คิด" สะสมที่ดินเก็บเอาไว้ 3-5 ไร่ ป่านนี้ก็รวยไปตั้งนานแล้ว

"สมัยก่อนผมไม่มีมุมคิด ยังไม่มีประสบการณ์ ตอนนั้นไม่ใช่ปัญหาเรื่องเงิน สมัยเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ราคาที่ดินด้านหลัง มช. ราคาถูกมาก ไร่หนึ่งไม่กี่ตังค์ ประเด็น คือ เราคิดไม่เป็น"

การนั่งทบทวนอดีต ทำให้วิชัยได้แง่คิดว่า คนเราต้องเรียนผิดเรียนถูกกว่าจะผ่านจุดที่ "คิดเป็น" จงอย่ากลัวที่จะต้องจ่ายค่าวิชาของความผิดพลาด ถ้าคุณไม่เคยล้ม..ย่อมเดินไม่เป็น คนที่ "คิดเป็น" ก่อนคนอื่น คนนั้นก็มีโอกาส "รวย" ก่อน! หลักการเดียวกันกับการ "เล่นหุ้น"...จงวิ่งไปในที่ที่ "แนวโน้ม" กำลังจะไป

"อย่างที่ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ที่ที่นักศึกษาต้องไปฝึกงาน สมัยก่อนต้องขับรถผ่านคลองชลประทาน คนแถวนั้นยากจนมาก พื้นที่ทุรกันดาร ที่ดินแถวนั้นไร่หนึ่งเต็มที่ก็ไม่เกิน 3,000 บาท" ..ฉันใดก็ฉันนั้น ตอนผมเรียนจบใหม่ๆ ปี 2520 เมื่อ 30 ปีที่แล้ว ผมคิดตั้งแต่ตอนนั้นว่าชีวิตนี้ขอมีเงินเก็บแค่ 300,000 บาทก็พอ สมัยก่อนอยากมีเงิน 300,000 บาท อยากมีรถเก๋งโตโยต้าโคโรล่าเก่าๆสักคันหนึ่ง ผมจะมีความสุขมาก นั่นคือมุมมองของเราตอนนั้น เพราะฉะนั้นสมัยเป็นนักศึกษาจึงใช้ชีวิตหมดไปวันๆ ข้อดีของมันคือ ทำให้ผมไม่เสียกำลังใจ เพราะไม่เคยฝันไกล" "...แต่ข้อเสียของมัน ชีวิตเราก็ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน" สมัยนั้นมีการจองตัวนักศึกษา พอเรียนจบสัตวบาลมา รุ่นพี่ที่ทำงานอยู่เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ก็มาชวนให้ไปทำงานที่ฟาร์มเลี้ยงไก่ จึงต้องย้ายไปอยู่ที่จังหวัดระยอง ได้เงินเดือนครั้งแรกในชีวิต 2,700 บาท หลังจากทำงานผ่านไปได้ 18 วัน มุมมองของวิชัยก็เริ่มเปลี่ยน จากคนที่ใช้ชีวิตไปวันๆ ก็เริ่มรู้สึกว่าถ้าขืนทำงานอยู่อย่างนี้ต่อไป ชีวิตนี้คงไม่มีวันก้าวหน้า "ผมคิดว่า..โอ้โห้! การทำอาชีพเกษตรกรนี่มันยากมาก ดูแลไก่ต้องทำงานกลางคืน เพราะกลางวันอากาศร้อน เดี๋ยวไก่เครียด กว่าจะได้นอนก็เที่ยงคืน แล้วก็ต้องรีบตื่นตั้งแต่เช้ามืด ต้องตื่นไปเปิดไฟให้ไก่ เพราะการไข่ของไก่ขึ้นอยู่กับความยาวของแสงไฟ ...ตี 5 ก็ต้องลุกขึ้นไปเปิดไฟ ให้ไก่ตื่นขึ้นมากินอาหาร เพื่อจะให้มันออกไข่ตามกำหนด" วันที่ 18 ของการทำงาน วิชัยก็คิดได้ว่า ถ้าเรามีความพยายามมากขนาดนี้นะ ไม่ต้องมาทำงานกินเงินเดือน 2,700 บาทหรอก ต่อให้ไปขายราดหน้าข้างถนน "กูก็รวยได้" จากนั้นเขาจึงไปบอกรุ่นพี่ว่า...พี่ครับ! ผมขอลาออก ขอบคุณครับที่รับผมเข้าทำงาน รุ่นพี่ทักท้วงว่ารออีกแค่ 12 วัน เงินเดือนออกแล้วค่อยไป ด้วยอุปนิสัยเด็ดเดี่ยว วิชัย ยืนกรานที่จะลาออกจากงานทันที

เส้นทางอนาคตของเสี่ยยักษ์ในวัยหนุ่ม แทบจะมองไม่เห็นหนทางแห่งความร่ำรวย ภายหลังลาออกจากการเป็นลูกจ้างเครือซีพีจึงบ่ายหน้ากลับบ้านเกิดที่จังหวัดอยุธยา ไปช่วยงานในโรงงานทำเส้นหมี่ของพ่อ สมัยก่อนพ่อของวิชัยจะทำโรงงานแบบคนโบราณ ซึ่งชายหนุ่มมองว่าหนทางแห่งความเติบโตแทบไม่มี แถมการไปของวิชัย เขายังถูกมองว่าเป็น "ส่วนเกิน" ของโรงงาน พวกพี่ๆต้องแบ่งงานให้ทำ และถูกพวกคนงานดูถูกดูแคลน กล่าวกันว่าไอ้ลูกเถ้าแก่คนนี้เป็นพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ทำอะไรไม่เป็นโล้เป็นพาย ...แม้แต่พี่ตัวยังมองว่า มึงไปเรียนหนังสือมาทำไม สุดท้ายก็ต้องมาทำงานที่บ้าน "แต่จริงๆคือ..เขาคิดผิด" วิชัยคิดในใจ

ความน้อยเนื้อต่ำใจถูกสะสมเพิ่มพูน เขาเล่าว่า ครอบครัววชิรพงศ์มีตัวเขาเป็นคนสุดท้อง พี่ชายแท้ๆเป็นหมอ ถัดมาอีกคนเป็นวิศวกร แต่พี่น้องก่อนหน้านั้นไม่ได้เรียนหนังสือ พี่ชายที่ไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่เข้าใจว่าการเรียนหนังสือทำให้คนเรา "คิดเป็นระบบ" ทำให้เราวิเคราะห์เป็น มีเหตุมีผล อุปสรรคเรื่องคนจึงมีเข้ามาเนืองๆ ระหว่างที่ช่วยงานในโรงงานอยู่นั้น วิชัยจึงยึดอาชีพเลี้ยงหมูของตัวเองเป็นรายได้หลัก โดยอาศัยเศษอาหารเหลือในโรงงานมาทุ่นต้นทุน "ตอนนั้นผมเลี้ยงหมูเป็นร้อยตัวนะ แต่จุดเปลี่ยนของชีวิตก็มาอีก ตอนไปเก็บเงินจากเขียงหมู เงินแค่ 20,000 บาท เช้าเจอสามีก็บอกให้ไปเก็บกับภรรยา พอเจอหน้าภรรยาก็บอกให้ไปเก็บกับสามี วงการนี้มันเอารัดเอาเปรียบกันมาก พวกโรงฆ่าสัตว์พวกนี้เจ้าเล่ห์ ผมก็เลยประกาศว่า "เลิก" อาชีพนี้ไม่เอาอีกแล้ว"

เวลาทั้งหมดจึงทุ่มเทมาช่วยงานในโรงงาน ช่วงนั้นการทำให้เส้นหมี่แห้งจะใช้วิธีโบราณคือ การตากแดด วิชัย เข้าไปช่วยพัฒนาจากตากแดดเปลี่ยนมาเป็นการอบแห้ง โดยนำเครื่องจักรสมัยใหม่เข้ามาใช้ เขาได้สรุปบทเรียนของชีวิตไว้ว่า...จุดเปลี่ยนของชีวิตคนเรา อยากให้ทุกคนได้ลิ้มลองรสชาติของความสำเร็จสักครั้ง ไม่ว่าใครก็ตาม ถ้าคุณชิมความสำเร็จได้อย่างหนึ่งแล้ว อะไรก็ตามที่เป็นอุปสรรคหลังจากนั้น จะดูง่ายไปหมด "...นี่คือเรื่องจริงที่ผมเจอมา การเล่นหุ้นก็ไม่แตกต่างกัน ถ้าคุณชนะครั้งใหญ่ได้สักครั้ง ชัยชนะต่อๆมาจะเป็นของคุณ" เขาเชื่อเช่นนั้น

ตอนที่3ปูมหลัง"เซียนหุ้นอยุธยา"

ไร้ซึ่งเสาเข็มฝังลึกลงใต้ดิน ไฉนเลยจะมีตึกสูงใหญ่ระฟ้า...ความสำเร็จของคนล้วนมีที่มา ระหว่างที่ช่วยงานพ่อในโรงงานทำเส้นหมี่ วิชัย วชิรพงศ์ ได้เข้าไปปรับเปลี่ยนระบบงานหลายอย่าง ตั้งแต่ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย จนหัวหน้าคนงานบางคนหัวเราะเยาะหาว่าลูกเถ้าแก่คนนี้..เป็นคนไม่เอาไหน การขาดความยำเกรงในหมู่คนงาน จะสั่งงานอะไรก็ติดขัดไม่ราบรื่น วิชัยต้องพิสูจน์บทเรียนบทแรกของการบริหารคนในครั้งนั้น "...ผมต้องกลั้นใจไล่หัวหน้าคนงานคนนั้นออก คำแรกที่พูด..ถ้าหากมีคุณแล้วผมไม่สบายใจ ไม่มีคุณเสียดีกว่า ทั้งๆที่ตอนนั้นยังไม่มีใครช่วย ที่ต้องทำอย่างนี้เพราะว่า การเป็นผู้นำเราต้องกล้าตัดสินใจ ต้องทำให้คนอื่นยำเกรง พอไล่หัวหน้าคนงานออกไปแล้ว การบริหารงานก็เริ่มคล่องขึ้น" ถ้าเปรียบกับการเล่นหุ้น การไล่หัวหน้าคนงานที่เป็น "ตัวปัญหา" ออกไป ก็เหมือนกับการ "Cut Loss" หุ้นที่กำลังจะกลายเป็น "เนื้อร้าย" ออกจากพอร์ต ก่อนที่เนื้อร้ายชิ้นนั้นจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ มาบั่นทอนจิตใจเราในภายหลัง ในไม่ช้า วิชัยก็รู้ซึ้งในมุมคิดใหม่ ความรู้..เปรียบดั่งสายแร่ทองคำในเหมืองที่ยังไม่ถูกขุดขึ้นมาใช้ ประสบการณ์..คือการถลุงแร่ทองคำ ให้กลายเป็นเนื้อทองคำบริสุทธิ์ แท้ที่จริง "ความรู้" ต้องรอวันถูกขุดขึ้นมาใช้ร่วมกับ "ประสบการณ์" อย่างเช่นเราเรียนหนังสือมา เรารู้ว่าเมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1 องศาอากาศจะขยายตัว 1,760 เท่า นี่มันเป็นวิชากลศาสตร์สายวิทย์ทั่วไป เครื่องอบแห้งจากญี่ปุ่น จะใช้อากาศมาหมุนเวียนภายในทำให้เส้นหมี่แห้ง การประหยัดพลังงาน เราก็ต้องลดอุณหภูมิภายในตู้อบ มอเตอร์ความเร็วรอบก็ลดลง พออากาศขยายตัวเป็นหมื่นๆเท่า เส้นหมี่ก็แห้งเร็วขึ้น นี่คือ..ความรู้ที่เราไม่เคยรู้ว่าจะได้นำมาใช้วันนี้หรอก

วิชัยเปรียบการเล่นหุ้นว่า เราต้องคิดให้เป็นหลักวิทยาศาสตร์ การ "เบ่ง" ของวอลุ่ม จะต้องสอดคล้องกับ "การขึ้น" ของราคาหุ้น นักลงทุนที่ก้าวขึ้นมาเป็นรายใหญ่ ต้องเข้าใจหลักการข้อนี้ หุ้นจะเป็นขาขึ้น "ราคา" และ "ปริมาณ" จะต้องเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน หลังจากช่วยงานที่บ้านมา 10 ปีเต็ม ไม่มีวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ปีใหม่มีวันหยุด 4 วัน ก็เป็นวันซ่อมเครื่องจักรประจำปี "ผมช่วยที่บ้าน 10 ปี ไม่เคยมีเงินเดือน หยิบเงินกงสีใช้ได้ แต่ไม่มีเงินเก็บ อยากจะใช้อะไรก็ใช้ไป ไม่เคยมีสมุดเงินฝากธนาคารเป็นของตัวเอง" จุดหักเหของวิชัย เกิดขึ้นเมื่อเขาจะแต่งงานกับว่าที่ภรรยา เป็นทันตแพทย์ประจำอยู่ที่โรงพยาบาลราชวิถี ซึ่งเป็นหลานสาวของศาสตราจารย์ สัญญา ธรรมศักดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีและองคมนตรี วิชัยเล่าว่า ในวันแต่งงาน นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้สัมผัส "เงินล้าน" เงินสินสอดที่แม่ยกให้เอาไว้ทำทุนจำนวน 1 ล้านบาท "ตอนแต่งงานกัน เราสองคนมีสินสมรสรวมกัน 2.6-2.7 ล้านบาท ผมจำได้ว่านับมันอยู่นั่นแหละ" แม้เขาจะมองว่าเงินก้อนนี้ไม่มาก แต่ก็ไม่เคยมีมาก่อน หลังจากแต่งงานกัน ภรรยาช้างเท้าหลังต้องเสียสละ ย้ายงานจากโรงพยาบาลราชวิถี มาช่วยราชการอยู่ที่โรงพยาบาลอำเภอเสนา แต่ไปประจำอยู่ในโรงพยาบาลชุมชนเล็กๆ ประจำตำบล ตำแหน่งอะไรก็ไม่มี วิชัยจึงยกย่องในความเสียสละของภรรยาคนนี้อย่างมาก แต่ชีวิตก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่ทั้ง 2 คนคาดหวัง ดั่งภาษิตจีนที่กล่าวไว้ว่า "หวานมาจากขม...สุขมาจากทุกข์" ชีวิตที่ยังไม่ได้ลิ้มรสความล้มเหลว จะรู้จักความงดงามของความสำเร็จได้อย่างไร... "ตอนนั้นเรามีโครงการกันว่า จะเปิดคลินิกทำฟันในอำเภอเสนา ตกแต่งร้านไป 2-3 แสนบาท พอทำคลินิกเสร็จ ช่วงนั้นลูกสาวอายุ 9 เดือน ยังไม่ได้ทันรักษาคนไข้สักคน ไฟก็ไหม้ตลาดอำเภอเสนา บ้านผมเป็นตึกแถว 2 ห้องอยู่ในตลาด..หมดเกลี้ยง!!!"
เขาเล่าว่า เอาออกมาได้แค่รถมอเตอร์ไซค์ รีบคว้าตัวลูก แล้วก็เอาเสื้อผ้าของใช้ของลูกสาวมาได้เพียงลิ้นชักเดียว แต่ของเรา 2 คน ไม่ได้เอาอะไรติดตัวออกมา ห่วงแต่ของลูก วิชัยสะท้อนภาพภายใต้กระจกเงาชีวิตที่มัวหมองในขณะนั้นว่า ตอนนั้นในใจก็คิดว่า..โห! ทำไมชีวิต(กู)มันถึงบัดซบขนาดนี้ เรากำลังจะดีขึ้นอยู่แล้วเชียว "โชคชะตาทำไมเล่นกับพวกเราแรงขนาดนี้..." เขารำพึง ช่วงนั้นไม่รู้จะไปนอนกันที่ไหน วิชัยต้องไปขออาศัยอยู่กับบ้านพี่ชาย พ่อ-แม่-ลูก ขึ้นไปอยู่ชั้น 4 ชั้นบนสุดของตึกแถว ไม่มีแอร์ มีแต่พัดลมติดเพดาน ส่วนที่นอนก็ปูเอากับพื้นไม่มีเตียง มีผ้าม่านสีเขียวบางๆ ห้องนอนค่อนข้างคับแคบ ทั้ง 3 ชีวิตต้องทนอยู่ห้องนั้นประมาณ 1 ปี

"เรานอนมองพัดลมบนเพดานกันทุกวัน..ทนไม่ไหว ผมไม่เป็นไร สงสารแต่ภรรยากับลูก เลยให้เขากับลูกย้ายกลับมาอยู่กรุงเทพ มาอยู่กับพ่อแม่เขา แล้วให้ย้ายกลับมาทำงานที่โรงพยาบาลราชวิถี ผมจะมาหาเฉพาะวันหยุดเสาร์-อาทิตย์" วิชัยให้สัญญากับภรรยาว่า เดี๋ยวจะตามไปอยู่ด้วย ทั้งๆที่ก็ไม่รู้ว่าจะตามไปยังไง จะไปทำอาชีพอะไร? ยังไม่รู้
"ชีวิตคนเราขอให้ชนะอะไรสักครั้งหนึ่ง เราจะไม่กลัว แล้วชีวิตเราจะชนะอยู่เรื่อยๆ" เขาย้ำ จังหวะนั้นรุ่นพี่รุ่นน้องที่ทำโรงงานเส้นหมี่ด้วยกัน อยากจะออกไปขาย "ฟู้ดเคมิคอล" เป็นพวกเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร วิชัยสนใจจึงเอาทุนก้อนหนึ่งมาเปิดโรงงานที่กรุงเทพฯ ใจหนึ่งก็คิดว่าดีเหมือนกันจะได้อยู่ใกล้ลูกเมีย ขณะนั้นมีลูกน้องจบ Food Science (เทคโนโลยีทางอาหาร) สองคน เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงให้กับบริษัท ช่วงแรกๆธุรกิจก็ไปได้ดี แต่ทำได้ไม่นานก็ต้องเซ้งกิจการให้กับลูกน้อง พวกสินค้าเคมีตัวเล็กๆ ที่หิ้วไปขายได้กำไร 20-30% ลูกน้องจะรับออเดอร์เอาไว้เอง แล้วส่งออเดอร์สินค้าตัวที่กำไรน้อยต้องส่งเป็นเบราท์ใหญ่ๆ อย่างพวกแป้ง หรือวัตถุดิบที่ต้องใช้รถบรรทุกไปส่ง กำไรประมาณ 8% ก็ส่งออเดอร์ให้บริษัท ที่สุดเถ้าแก่วิชัยก็ได้เรียนรู้ประสบการณ์ครั้งใหม่ว่า...คุณจะทำธุรกิจอะไรก็แล้วแต่ ถ้าเจ้าของทำเองไม่เป็น แล้วต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจ สุดท้ายเราก็ไปไม่รอด คิดอยู่หลายตลบ ก่อนจะได้รับคำตอบว่า "ถอยดีกว่าเรา"

 กลับขึ้นบน
ANTPOWER
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 100
#1 วันที่: 18/05/2011 @ 23:27:06 :
อ่านแล้วเศร้า จัง
 กลับขึ้นบน
ANTPOWER
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 100
#2 วันที่: 02/08/2011 @ 12:34:01 :
ตอนนี้ก็ยังไม่ค่อย หนุก เป็นหนังชีวิต
อ่านแล้วก็ยังไม่เบื่อ
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com