November 23, 2024   6:44:07 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องสาระน่ารู้ > มาลงทุนกันเถอะ ตอน8 # ลงทุนในงานศิลป์
 

mama
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 82
วันที่: 13/06/2012 @ 14:03:56
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
100.00%
1 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน



การลงทุนในงานศิลป์และภาพเขียน เป็นการลงทุนทางเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ผู้ที่มีฐานะ และผู้มีชื่อเสียง เนื่องจากงานศิลป์หรือภาพเขียนเป็นสินทรัพย์ที่ใช้ประดับบารมีได้ อีกทั้งยังใช้ตกแต่งบ้าน ทำให้ดูเด่น สง่างามและมีสไตล์ นอกจากนั้นแล้ว ยังจัดเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีไม่แพ้การลงทุนอย่างอื่น แถมยังป้องกันจากค่าเงินเฟ้อได้อีกด้วยครับ

ด้วยเหตุที่งานศิลป์สามารถให้ผลตอบแทนสูงและเป็นตัวช่วยกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนได้ดี ในหลายๆประเทศจึงมีการตั้งกองทุนเพื่อเข้าไปซื้องานศิลป์โดยเฉพาะเลยทีเดียว แต่ไม่ใช่ว่าเขาจะซื้อไปทั่วนะครับ เขาก็มีหลักเกณฑ์ที่จะซื้อภาพเขียนหรืองานศิลป์สักชิ้นเหมือนกัน โดยมีทั้งหมด 4 ข้อตามนี้ครับ


1. ต้องเป็นงานศิลป์ของทางยุโรปเท่านั้น
2. เป็นงานศิลป์ที่เหลือน้อยลงเรื่อยๆ
3. เป็นงานศิลป์ที่ถูกกล่าวอ้างในหนังสืออ้างอิงทางศิลปะ
4. ต้องมีการซื้อขายกันในตลาดงานศิลป์ระหว่างประเทศ

จุดที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนในงานศิลป์ที่สำคัญก็คือเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง ( High rate of return ) มูลค่าของภาพเขียนในตลาดระหว่างประเทศมีการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้ เพิ่มขึ้นกว่า 800 % ทีเดียว ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของตลาดหุ้นมาก อีกอย่างหนึ่ง งานศิลป์หรือภาพเขียนนับเป็นสินทรัพย์ที่ทำให้ผู้มีไว้เป็นเจ้าของดูดีดูมีรสนิยม สามารถนำมาตกแต่งบ้านเพื่อแสดงฐานะและรสนิยมได้ด้วย

แต่จุดอ่อนที่พึงระวังหากสนใจจะลงทุนในงานศิลป์ก็คือ ค่าใช้จ่ายในการถือครองที่ค่อนข้างสูงครับ โดยมีต้นทุนที่เกิดในขั้นตอนการซื้อเช่น ภาษีการขาย ค่าธรรมเนียมการประเมินต้นทุนค่าหีบห่อ ค่าคอมมิชชั่นและค่าธรรมเนียมซื้อขาย นอกจากนี้ยังมีค่าประกัน ค่าซ่อมแซมและทำความสะอาด ค่าวิจัย ค่าจัดเก็บรักษาซึ่งถ้าเป็นการลงทุนในตราสารทางการเงินจะไม่มีค่าใช้จ่ายส่วนนี้เลยและจุดอ่อนอีกอย่างหนึ่งก็คือเป็นการลงทุนที่มีสภาพคล่องต่ำ ถ้าคิดจะแปรเป็นเงินสดทันทีทำได้ยาก ดังนั้นผู้ที่จะลงทุนในภาพเขียนหรืองานศิลป์นั้นจะต้องใช้เงินเย็นเท่านั้น

 กลับขึ้นบน
mama
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 82
#1 วันที่: 13/06/2012 @ 14:08:31 :



ปัจจัยกำหนดมูลค่าของงานศิลป์ มีด้วยกัน 7 ปัจจัยคือ


1.ศิลปิน
เป็นปัจจัยที่มีส่วนอย่างมากต่อมูลค่าของงานศิลป์นั้นๆ ยิ่งศิลปินมีชื่อเสียงมากเท่าไหร่ ราคาของงานศิลป์นั้นก็จะยิ่งมีมูลค่าสูงมากขึ้นเท่านั้น


2.ที่มาของศิลปะชิ้นนั้นๆ
เรื่องราวที่มาของงานศิลป์นั้นมีหลายแบบ ยกตัวอย่างเช่น เป็นภาพวาดที่เกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญ หรืออาจจะเคยมีผู้มีชื่อเสียงเคยเป็นเจ้าของภาพนั้นมาก่อน หรือ เคยตกอยู่ในมือของผู้มีอำนาจในต่างประเทศแล้วแย่งชิงกันมาเป็นต้น


3.ความสมบูรณ์ของชิ้นงาน
ชิ้นงานที่มีความสมบูรณ์ก็จะมีราคาดี ชิ้นงานที่ไม่สมบูรณ์ราคาก็จะตกลงไป เช่น แจกันสมัยราชวงศ์ชิง ที่มีการประมูลเมือ่เดือนเมษายน 2550 มีการขูดลบตราประทับใต้ฐานออกตอนที่ผู้นำออกจากวังเพื่อไม่ให้มีการติดตามได้ ราคาที่ประมูลไปได้คือ 10.9 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง ( 47ล้านบาท) ซึ่งถ้าเป็นแจกันที่สมบูรณ์จะได้ราคาสูงกว่านี้อีก 2-3 เท่าทีเดียว


4.อายุของงาน
ยิ่งเป็นงานชิ้นที่เก่าแก่ก็จะยิ่งดีเท่านั้น และถ้าเป็นงานที่มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ หรือเป็นหลักฐานช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งในประวัติศาสตร์ ก็จะยิ่งราคาสูงขึ้นไปอีก


5.ความหายาก
งานศิลป์ที่มีความหายากจะเป็นที่ต้องการของตลาด โดยเฉพาะถ้าหากว่าเป็นงานศิลป์ที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลก หรือเป็นผลงานชิ้นเอกที่ทำขึ้นใหม่ไม่ได้แล้ว ราคาจะยิ่งสูงขึ้นสูงขึ้นไปอีก


6.ความนิยม
กระแสความนิยมของคนในสังคมต่องานศิลป์ก็มีส่วนต่อมูลค่าของงานแต่ละชิ้นเหมือนกัน งานจะได้ราคาดีหรือไม่ก็ต้องดูด้วยว่าภาพวาดหรืองานชิ้นนั้นๆ มีคนสนใจมากหรือไม่อย่างไร


7.พิสูจน์ได้ถึงความเป็นของแท้
เช่น ภาพวาดก็ต้องเป็นภาพที่มีลายเซ็นของศิลปินที่มีชื่อเสียงเซ็นไว้จริงๆ หรือเป็นภาพที่เคยได้รางวัลมาก่อน มีปรากฏในหนังสือหรือประวัติสามารถค้นย้อนกลับไปดูได้
 กลับขึ้นบน
mama
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 82
#2 วันที่: 13/06/2012 @ 14:11:06 :




วิธีการซื้อขายงานศิลป์
สามารถทำได้หลายลักษณะเช่น การซื้อขายตัวต่อตัว การซื้อขายในแกลเลอรี่ ขายทางอินเตอร์เนต หรือส่งเข้าประมูลก็ได้ครับ


สำหรับงานที่ขายกันในแกลเลอรี่นั้นจะแบ่งคุณค่าของงานออกเป็น 3 ระดับดังนี้


ระดับล่าง คือผลงานของศิลปินที่มีความชำนาญสามารถผลิตผลงานออกมาได้มากๆในแต่ละเดือน ผลงานมีคุณภาพเพียงพอที่จะนำไปประดับตกแต่งสถานที่ต่างๆให้ดูดีได้
ระดับกลาง คือผลงานของศิลปินที่เริ่มจะมีชื่อเสียงติดตลาดและมีการพัฒนา หรืออาจะได้รับรางวัลมา หรือมีลักษณะงานที่แปลกตา มีเทคนิคที่ดีมีเอกลักษณ์
ระดับสูง จะเป็นผลงานของศิลปินที่มีฝีมือโดดเด่น และมีคุณค่า ผลงานมีคุณภาพสูง โดยปกติงานศิลป์ระดับนี้จะมีราคาสูง


ส่วนวิธีที่ได้รับความนิยมในยุคหลังๆคือการประมูล ที่ได้รับความนิยมสูงก็เพราะเป็นวิธีที่ช่วยทำให้เกิด"ความต้องการ" งานนั้นๆขึ้นได้มาก เพราะเวลาประมูลบรรยากาศจะเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เร้าใจ และผลของการประมูลยังถูกเปิดเผยต่อสาธารณะด้วย ทำให้งานศิลป์นั้นถูกกล่าวถึงในวงกว้าง


ปัจจุบันมีบริษัทรับประมูลมากมายหลายแห่งทั้งในประเทศและต่างประเทศแต่ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลกก็คือ สถาบันประมูลคริสตี้ส์ (Christie's) และสถาบันประมูลโซเทบีส์(Sotheby's) ซึ่งสถาบันประมูลจะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางให้ผู้ซื้อและผู้ขายมาพบกันได้ โดยจะเป็นนายหน้ารับงานศิลป์จากเจ้าของมาในลักษณะ"ฝากขาย" โดยสถาบันประมูลจะทำแคตตาลอก รายละเอียดงาน และราคา พร้อมทั้งความเห็นของผู้เชี่ยวชาญต่องานชิ้นนั้นๆด้วยเพื่อนำเสนอแก่ผู้สนใจจะเข้าประมูลโดยสถาบันประมูลจะคิดค่าธรรมเนียมในการให้บริการอัตราประมาณ 10% ของราคาซื้อ โดยเป็นการคิดทั้งสองฝั่งทั้งฝั่งผู้ซื้อและฝั่งผู้ขาย
 กลับขึ้นบน
mama
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 82
#3 วันที่: 13/06/2012 @ 14:19:42 :




การลงทุนงานศิลป์เพื่อกระจายการลงทุน

แต่เดิมนั้นการลงทุนในงานศิลป์ยังกระจุกตัวอยู่เฉพาะในทวีปยุโรปและอเมริกาเท่านั้น แต่ต่อมาในยุคเบบี้บูม ที่คนเริ่มมีการศึกษาดี เริ่มมองเห็นคุณค่าของงานศิลป์เพิ่มขึ้น ประกอบกับช่วงนั้นเป็นช่วงที่เกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรง จึงทำให้มีคนหันมาสนใจลงทุนในงานศิลป์เพื่อหนีเงินเฟ้อกันเพิ่มขึ้น โดยตัวอย่างเหตุการณ์ที่เป็นตัวจุดประกายให้ผู้คนหันมาสนใจลงทุนในงานศิลป์ก็อย่างเช่น เมื่อปี 1970 กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของพนักงานการรถไฟของอังกฤษได้ลงทุน2.9% ของเงินทั้งหมดในงานศิลป์และขายงานศิลป์ทั้งหมดในปี 1980 ปรากฏว่าได้กำไรสะสมเฉลี่ย 11% ต่อปีซึ่งจัดว่าสูงมาก การลงทุนครั้งนี้จึงเป็นการจุดประกายความนิยมในการลงทุนในงานศิลป์ให้กระจายไปอย่างกว้างขวาง


แต่อย่างไรก็ตาม การลงทุนในงานศิลป์ก็ยังมีข้อด้อยอยู่ 4 ประเด็นใหญ่ๆด้วยกันคือ

1.ตลาดซื้อขายงานศิลป์มีสภาพคล่องค่อนข้างต่ำ โดยการซื้อขายส่วนใหญ่จะทำผ่านตลาดประมูลเป็นสำคัญ และราคาที่ตกลงกันนั้นก็ไม่แน่ไม่นอน ขึ้นอยู่กับความพอใจของทั้งสองฝ่ายเป็นหลัก

2.การซื้อขายงานศิลป์นอกตลาด จำเป็นต้องอาศัยความเชี่ยวชาญในการดูสินค้าเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการซื้อของปลอม

3.การเก็บรักษางานศิลป์บางประเภท จำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายเพื่อการดูแลรักษาเป็นพิเศษ เช่น ถ้าหากเป็นภาพวาดหรืองานพิมพ์ ก็จะต้องเก็บในสถานที่ที่ควบคุมความชื้น ปลอดควัน ปลอดแสงรวมถึงการซ่อมแซมบำรุงก็ต้องใช้ช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน นอกจากนี้การขนย้ายงานศิลป์ขนาดใหญ่ก็ยังต้องมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และต้องทำด้วยความระมัดระวังมาก

4.งานศิลป์จะไม่สร้างรายได้จนกว่าจะมีการซื้อขายเกิดขึ้น
 กลับขึ้นบน
mama
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 82
#4 วันที่: 13/06/2012 @ 14:23:07 :



ข้อแนะนำในการลงทุนในงานศิลป์และภาพเขียน


การจะลงทุนในงานศิลป์นั้นทำได้ไม่ง่าย เพราะต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจในงานศิลป์เป็นอย่างดี จึงจะมองคุณค่าของงานชิ้นนั้นๆออก ดังนั้น สำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ที่สนใจจะลงทุนในงานศิลป์จึงควรระมัดระวังให้มาก โดยมีข้อควรจำคือ ปัจจัยที่ทำให้งานศิลป์มีค่าขึ้นมาได้ก็คือตัวศิลปินเป็นสำคัญ ดังนั้นจึงควรจะเลือกลงทุนในผลงานของศิลปินที่มีชื่อเสียงมากๆและมีผลงานที่ดีเด่นเสมอ และควรเป็นผลงานที่เข้าถึงคนได้ทุกระดับ กล่าวคือ ผู้คนสามารถเข้าใจได้ง่าย สวยและชวนมอง เพื่อที่ว่า หากลงทุนผิด ซื้อมาราคาสูงเกินไป หรือขายไม่ออก จะได้สามารถเก็บไว้ชื่นชมหรือประดับบ้านได้ครับ
 กลับขึ้นบน
firstcy
สมาชิก

จังหวัด: นครราชสีมา
โพสต์: 64
#5 วันที่: 06/11/2015 @ 18:35:02 :
สวยงามมากเลยครับ

-------------------------------

genting club / royal1688 / holiday palace

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com