May 3, 2024   6:45:00 AM ICT
5 คำถามที่นักลงทุนรอคำตอบ
สัปดาห์ที่แล้ว ผมสรุปว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในขณะนี้ ได้สะท้อนความกังวลของนักลงทุน เกี่ยวกับความไม่แน่นอนและปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ไปค่อนข้างมาก เห็นได้จากการที่ราคาหุ้นในขณะนี้คิดเป็นประมาณ 8 เท่าของกำไรที่คาดการณ์ในปี 2548 สังเกตว่า การประเมินว่า หุ้นราคาถูกหรือแพงนั้น ไม่ได้ดูที่ราคาหุ้นหรือดัชนีเพียงอย่างเดียว แต่ควรเปรียบเทียบราคาหุ้นกับความสามารถในการทำกำไรด้วย

พีอี (ราคาต่อกำไรต่อหุ้น) ที่ 8 เท่า นั้นเป็นระดับเดียวกับพีอี เมื่อปี 2544 ซึ่งผมได้อธิบายในสัปดาห์ที่แล้วว่า เป็นช่วงที่สภาวการณ์เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยย่ำแย่กว่าในปัจจุบันอย่างมาก แสดงว่าราคาหุ้นนั้นได้พยายามสะท้อนความเสี่ยงต่างๆ เอาไว้ค่อนข้างมากแล้ว ซึ่งคำถามต่อไปก็คือว่า นักลงทุนเป็นห่วงเรื่องอะไรบ้าง และกำลังรอคำตอบอะไรอยู่ จึงยังไม่ยอมเข้ามาลงทุน ซึ่งผมมีความเห็นว่า คำถามที่นักลงทุนรอคำตอบอยู่ในขณะนี้ มีอยู่ 5 ประการ คือ

1.ราคาน้ำมันจะลดลงมากน้อยเพียงใด : ชัดเจนมากกว่าราคาน้ำมันคงจะต้องลดลงจากระดับ 50-55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่จะลดลงมากน้อยเพียงใดผมขอสรุปว่า หากราคาน้ำมันลดลงเหลือ 30 ดอลลาร์ หรือต่ำกว่านั้น นักลงทุนคงจะพอใจมาก และตลาดหุ้นทั่วโลกคงจะคึกคักขึ้นอย่างแน่นอน แต่หากราคาน้ำมันอยู่ที่ระดับ 35-40 ดอลลาร์ ตลาดคงจะไม่ค่อยพอใจมากนัก และหากทรงที่ระดับ มากกว่านั้น เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกก็จะชะลอตัวลงอย่างมาก สำหรับเมอร์ริล ลินช์ นั้น คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันจะอยู่ที่ระดับเฉลี่ยประมาณ 32.50 ดอลลาร์ ในปีหน้า

2.สหรัฐจะจัดการกับการขาดดุลแฝด ได้จนเป็นที่พอใจของนักลงทุนหรือไม่ การที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง หลังจากประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ชนะเลือกตั้ง แสดงว่า ตลาดทุนมีความเป็นห่วงว่า นโยบายการคลังของรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งเน้นการลดภาษีนั้น จะไม่สามารถทำให้การขาดดุลงบประมาณ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 4 แสนล้านดอลลาร์ หรือ 3% ของจีดีพีนั้น ลดลงได้อย่างมีนัยสำคัญ

ซึ่งนอกจากจะทำให้ดอกเบี้ยระยะสั้น และระยะยาวของสหรัฐต้องปรับตัวขึ้นแล้ว ก็ยังจะทำให้สหรัฐไม่สามารถลดขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 6 แสนล้านดอลลาร์ต่อปีได้ ซึ่งทางเลือกในการปรับตัวนั้น มีอยู่ 2 ทาง คือ การปล่อยให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลง หรือการชะลอเศรษฐกิจภายในโดยเฉพาะการบริโภค ซึ่งทางเลือกหลังนี้ จะสร้างปัญหาภายในอย่างมาก

ตลาดจึงเลือกการอ่อนตัวของค่าเงินดอลลาร์แทน แต่ทั้งนี้ ต้องได้รับความร่วมมือจากประเทศในเอเชีย ที่จะต้องยอมให้ค่าเงินของตนแข็งขึ้น เทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ 15-20% (ค่าเงินบาทจะแข็งเป็น 32-33 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์) ซึ่งธนาคารกลางในเอเชียคงจะไม่ยอม ยกเว้นว่าจีน จะยอมปล่อยให้เงินหยวนแข็งตัวอย่างมากก่อน

การที่เอเชียไม่ยอมก็จะทำให้การเมืองของสหรัฐกดดันให้การกีดกันการค้า ทวีความรุนแรงมากขึ้น และเป็นไปได้ที่จีนจะกลายเป็น ผู้ร้าย อันดับหนึ่งของสหรัฐ เช่นเดียวกับที่ญี่ปุ่นเมื่อปี 1987-1988 และถูกสหรัฐกีดกันทางการค้า และประเทศไทยก็จะต้องถูกลูกหลงไม่มากก็น้อย

3.จีนจะชะลอเศรษฐกิจลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้หรือไม่ ตัวเลขเศรษฐกิจของจีนที่ประกาศออกมาในช่วง 5-6 เดือนที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจจีนกำลังชะลอตัวลงเห็นได้ชัด รวมทั้งการปรับดอกเบี้ยขึ้น เมื่อเดือนตุลาคมทำให้นักลงทุนมั่นใจว่า จีนกำลังบริหารเศรษฐกิจอย่างรัดกุม และต่อเนื่อง เสียงส่วนใหญ่จึงมองว่าการชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป (soft landing) จึงน่าจะเกิดขึ้นได้ ในปี 2548 ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนมีความมั่นใจในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งพึ่งพาเศรษฐกิจจีนอย่างมาก

แต่มีเสียงส่วนน้อย เช่น นักวิเคราะห์ของมอร์แกน สแตนเลย์ และเครดิต ลียองเนส์ ซึ่งมองว่าเศรษฐกิจจีนจะต้องชะลอตัวลงรุนแรงในปี 2548 กล่าวคือ เศรษฐกิจจีนขยายตัวเพียง 5-6% ซึ่งลดลงเกือบครึ่งหนึ่งจากการขยายตัวสูงกว่า 9%

ในปีนี้ ผมเองนั้น ก็ยังไม่ค่อยแน่ใจว่า จีนจะชะลอเศรษฐกิจลงนุ่มนวลได้ เพราะมีการกู้ยืมเงินมาลงทุนมากจนกระทั่งสินเชื่อต่อจีดีพีสูงถึง 180% นอกจากนั้น ปัจจุบันจีนมีปัญหาหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้มากถึง 20-30%

เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัวลง และดอกเบี้ยต้องปรับตัวขึ้น ในขณะที่บริษัทต่าง ๆ มีหนี้สินมากมาย อาจก่อให้เกิดปัญหาปะทุขึ้น และมีความเสี่ยงว่า เศรษฐกิจอาจจะชะลอตัวรุนแรงก็เป็นได้ ซึ่งข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร ก็คงสามารถเห็นได้ในครึ่งหลังของปี 2548

4.ผลการเลือกตั้งของไทย ซึ่งภัทรเห็นว่า หากไทยรักไทยสามารถชนะเลือกตั้งโดยมี ส.ส.มากกว่า 300 คน นักลงทุน ก็น่าจะมั่นใจได้ว่ารัฐบาลจะมีความมั่นคงทางการเมือง และมีความต่อเนื่องทางนโยบาย แต่หากไทยรักไทยชนะเลือกตั้ง โดยมี ส.ส.เกินกว่ากึ่งหนึ่งไม่มาก ก็อาจจะเกิดความไม่แน่นอนว่าการเมือง และความต่อเนื่องทางนโยบายนั้น จะมีมากน้อยเพียงใด

5.ปัญหาภาคใต้ ปัญหาการก่อการร้าย และปัญหาตะวันออกกลาง ซึ่งเดิมทีไม่เคยเป็นสิ่งที่นักลงทุนถามถึง แต่ขณะนี้มีการสอบถามเป็นประจำ ซึ่งก็ไม่น่าจะแปลกใจ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่คนไทยทุกคนมีความกังวลใจมาก แต่เรื่องภาคใต้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงนั้น ไม่ได้เป็นแค่ปัญหาภายในประเทศไทย แต่นับวันก็จะเป็นปัญหาระดับนานาชาติ

นอกจากสถานการณ์ในภาคใต้ของไทยแล้ว นักลงทุนก็คงจะติดตามสถานการณ์ในตะวันออกกลาง รวมทั้งนโยบายต่างประเทศของสหรัฐ การแก้ปัญหาและนำสันติภาพมาสู่อิรัก (ซึ่งการเลือกตั้งที่จะจัดให้มีขึ้นในเดือนมกราคม 2548 จะมีความสำคัญ)

การริเริ่มของประธานาธิบดีบุช และนายกรัฐมนตรีโทนี แบลร์ ของอังกฤษ ที่จะแสวงหาสันติภาพในปาเลสไตน์ และอิสราเอล หลังการถึงอสัญกรรมของนายยัสเซอร์ อาราฟัต จะมีผลต่อความมั่นใจของนักลงทุนได้ ทั้งนี้เพราะเสถียรภาพในตะวันออกกลางจะทำให้การใช้จ่ายด้านการทหารของสหรัฐลดลง ทำให้ลดการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐ และทำให้ราคาน้ำมันลดลง

ผมไม่ได้หมายความว่า นักลงทุนจะต้องการคำตอบเต็มร้อยในประเด็นทั้ง 5 ข้างต้น หากโดยรวมแล้วมีแนวโน้มในทางบวก ก็จะส่งผลให้ตลาดหุ้นทั้งไทย และต่างประเทศ สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในปี 2548 แต่หากยังมีความคลุมเครือ ไม่มีความก้าวหน้า ตลาดหุ้นก็น่าที่จะซื้อ-ขายกันในกรอบแคบๆ เช่นที่เกิดในช่วง 3-4 เดือนที่แล้ว

ที่มา บทความ ของ ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

นสพ.กรุงเทพธุรกิจ

เข้าชม: 2,011

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com