April 29, 2024   3:55:27 AM ICT
ทรีนิตี้ชี้ไทยแลนด์โฟกัสดันหุ้นขึ้น....ทีพีไอหลังปรับหนี้หิ้วดัชนีได้12จุด

   คาดงานใหญ่ไทยแลนด์ โฟกัสหนุนตลาดหุ้นไทยช่วงสั้นปรับขึ้น แนะอาศัยจังหวะแก้ไขพอร์ตไม่เก็บหุ้นเพิ่ม ด้านฝ่ายวิจัยทรีนิตี้ปลายกันยาได้แรงหนุนจากเงินกองทุนหุ้น 2 หมื่นล้าน ให้จับตาหุ้นโยงการเมืองหลังสถิติก่อนเลือกตั้ง 3 เดือน หุ้นขึ้น 3% เผยไทยเสียเปรียบมาเลย์ฝรั่งมองไม่มีNPLย้อนกลับ ชี้TPIหิ้วดัชนีขึ้นได้ 11-12 จุดหากปรับหนี้สำเร็จ ส่งผลดีต่อกำไร PTT ปีละ500ล้าน ?สุกิจ-พัฒนสินระบุน้ำมันเป็นปัจจัยหลักปกคลุมตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ดัชนีซึมต่อ แต่ถ้าหลุด 600 จุดกองทุนจะเข้าซื้อพยุง
       
        นายภควัต โกวิทวัฒนพงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บล.ทรีนิตี้ ให้ความเห็นว่า ในระยะสั้นตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากจะมีการจัดงานใหญ่ ไทยแลนด์ โฟกัส ซึ่งถือเป็นการนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ต่อนักลงทุนต่างประเทศที่จัดขึ้นในประเทศเป็นครั้งแรก โดยจะมีกองทุนเข้ามาร่วมรับฟังข้อมูลมากมาย ดังนั้นรัฐบาลจะต้องรักษาภาพของตลาดหลักทรัพย์ให้ดูดีและเป็นที่ดึงดูดให้คนเข้ามาลงทุน แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อหุ้นขึ้นในรอบนี้ก็ควรใช้เป็นโอกาสในการแก้ไขพอร์ตของนักลงทุน ไม่ใช่การเข้าเก็บหุ้นเพิ่ม เนื่องจากหุ้นยังมีโอกาสปรับตัวลดลงอีก และจะเป็นจังหวะของการเข้าซื้อหุ้น
       
       **กองทุน 2 หมื่นล้านดันหุ้นก.ย.
        นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒน์กุล รองกรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนิตี้ กล่าวไปในทิศทางเดียวกันว่า ในระยะสั้นประเมินว่าหุ้นยังเป็นขาขึ้น ก่อนที่จะเริ่มเป็นขาลงอีกครั้งในช่วงหลังการเลือกตั้ง โดย ในอีก 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า ดัชนียังมีโอกาสจะปรับตัวลดลง ก่อนที่จะมีแนวโน้มขาขึ้นในช่วงปลายเดือน ส.ค.- ต้นเดือน ก.ย. เนื่องจากปัจจัยหลายประการ เช่น การที่จะมีเม็ดเงินกว่า 2 หมื่นล้านบาท จากกองทุนหุ้นระยะยาวที่มีการจัดตั้งและคาดว่าจะเริ่มเข้ามาลงทุนได้ในปลายเดือนนี้ ประกอบกับการประกาศผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียนที่คาดว่าจะออกมาดีมาก และจะดีต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 3
        ในขณะที่แรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่มีออกมาอย่างต่อเนื่องเริ่มหยุด ซึ่งจะเห็นได้ว่าหุ้นกลุ่มธนาคารเริ่มนิ่ง หลังจากมีแรงขายหนักในช่วงที่ KTB ประกาศผลการดำเนินงาน
        นอกจากนั้นยังพบว่าอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ของสหรัฐเริ่มปรับตัวลดลง หลังจากเฟดขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลให้อาจมีเม็ดเงินไหลเข้ามาในตลาดหุ้นเกิดใหม่อีกครั้ง
       
       ***จับตาหุ้นเกี่ยวการเมือง
        นายวิศิษฐ์กล่าวต่อว่าให้จับตาดูในส่วนของหุ้นที่มีความเกี่ยวพันกับนักการเมือง อย่างเช่น TPI TFI ที่อาจจะมีแรงเหวี่ยงก่อนหน้าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้น โดยจากสถิติพบว่าก่อนการเลือกตั้ง 3 เดือน หุ้นจะขึ้นประมาณ 3% ส่วนในปีหน้าหลังจากการเลือกตั้งผ่านพ้นไปแล้ว ตลาดหลักทรัพย์จะเริ่มแย่ลงอีกครั้งจากสภาพคล่องในระบบที่ปรับตัวลดลง
        ขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนผ่านจุดสูงสุดแล้วในปีนี้ โดยในปีหน้าคาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนจะเติบโตไม่เกิน 20% หลังจากที่หลายบริษัทจะต้องเริ่มจ่ายภาษี โดยเฉพาะแบงก์และอสังหาริมทรัพย์ ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่จะเพิ่มขึ้นหลังจากรับบาลมีนโยบายลอยตัวน้ำมัน และต่อไปคาดว่าจะลอยตัวก๊าซหุงต้ม ซึ่งจะส่งผลต่อการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยต่อไป
        นอกจากนั้นยังประเมินว่ากระแสการก่อการร้ายจะมีขึ้นอีกครั้งในช่วงเดือน พ.ย. ซึ่งเป็นการเลือกตั้งของสหรัฐ และเดือน ม.ค. 2548 ที่จะมีการเลือกตั้งในประเทศอิรัก
        ส่วนมุมมองของนักลงทุนต่างชาติขณะนี้เปรียบเทียบประเทศไทยกับมาเลเซีย จากก่อนหน้านี้ที่เปรียบเทียบกับอินโดนีเซียและฟิลิปปิน ทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบ เนื่องจากมาเลเซียไม่มีปัญหา NPL ย้อนกลับ ดังนั้นอาจมีเม็ดเงินที่ไหลไปตลาดมาเลย์มากกว่าไทย และหากปีหน้ารัฐวิสาหกิจยังไม่ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ คาดว่า MSCI จะลดน้ำหนักการลงทุนในประเทศไทยลงส่งผลให้ดัชนีไปไหนไม่ได้ไกล
        สำหรับการเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดี ก็ไม่เป็นผลบวกกับประเทศไทย เนื่องจากหากบุชได้เป็นต่อจะมีแต่ความหวาดผวาในเรื่องของการก่อการร้าย ในขณะที่หากจอห์น ได้รับเลือกก็จะหันไปให้ความสนใจกับประเทศในแถบละตินอเมริกาและแมกซิโกมากกว่า
        นายวิศิษฐ์กล่าวต่อว่า แม้ว่าปีหน้ารัฐบาลมีนโยบายที่จะเปลี่ยนเครื่องมือบริหารการคลังจากการส่งออกเป็นการลงทุนในประเทศ เห็นได้จากงบลงทุนที่ใช้ในการก่อสร้างปีหน้าที่มีมูลค่ากว่า 6 แสนล้านบาท สูงสุดในรอบหลายปี และเชื่อว่าจะเป็นอย่างนี้ไปอย่างต่อเนื่อง ยังไม่แนะนำให้ลงทุนในหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เนื่องจากมีความเสี่ยงมากในเรื่องของกระแสเงินสดที่ใช้ในการดำเนินงาน จึงให้น้ำหนักเพียงแค่เก็งกำไรเท่านั้น โดย บล.ทรีนิตี้ ให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มปูนมากกว่า เพราะจะได้ประโยชน์โดยตรงจากโครงการก่อสร้างต่างๆ ซึ่งจะเห็นว่าดัชนีที่ปรับตัวลดลงมา 40-50 จุด หุ้นกลุ่มปูนแทบจะไม่ขยับเลย
       
       ***หลัง TPIปรับหนี้
       ส่งผลต่อกำไร PTTปีละ500ล้าน
       
        ทั้งนี้แนะนำหุ้นน่าลงทุนในช่วง 2 เดือนข้างหน้าซึ่งมองว่าจะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาด ได้แก่ PTTEP PTT SCC SHIN UCOM TOC LOXLEY SCB BBL TPI TFI และTRU โดยในส่วนของหุ้น PTT การที่จะนำไทยออยล์ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จะส่งผลต่อกำไรที่ยังไม่รับรู้ของ PTT ประมาณ 10-12 บาทต่อหุ้น
        ในขณะที่การเข้าไปถือหุ้นใน TPI อาจเป็นข่าวร้ายในระยะสั้น แต่หลังจาก TPI ปรับโครงสร้างหนี้เสร็จจะส่งผลต่อกำไรของ PTT ปีละกว่า 500 ล้านบาท โดยให้ราคาเป้าหมาย PTT ที่ 190 บาท
        นอกจากนั้นในส่วนของหุ้น BBL จะได้รับประโยชน์จากการปรับหนี้ของ TPI เช่นกัน เนื่องจากจะทำให้ NPL ของ BBL ลดลงประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ในขณะที่แบงก์ได้ตั้งสำรองไว้เรียบร้อยแล้ว โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 135 บาท
        ส่วน TPI เองมีแนวโน้มดีขึ้นหากปรับหนี้เสร็จ ซึ่งการปรับเพิ่มขึ้นของหุ้น TPI 1 บาท มีผลให้ SET ปรับขึ้นถึง 3 จุด โดยมองราคาเป้าหมายที่ 11 บาท ดังนั้นในอนาคต SET มีโอกาสที่จะปรับขึ้น 11-12 จุดจากการปรับขึ้นของ TPI ตัวเดียว
        ด้าน TOC ถือว่าเป็นบริษัทเดียวที่มีแนวโน้มการเติบโตของกำไรในปีหน้าอีก 70-80% เนื่องจากมีการขยายกำลังการผลิต โดยให้ราคาเป้าหมาย 75 บาท และหุ้น SHIN ที่ปัจจุบันมี NAV อยู่ที่ 43 บาท แต่หากสามารถนำแอร์ เอเชีย และแคปปิตอล โอเค เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้จะทำให้ NAV เพิ่มขึ้นเป็น 45 บาทต่อหุ้น
       ***พัฒนสินชี้ราคาน้ำมันสูงต่อ
        นายสุกิจ อุดมศิริกุล หัวหน้าหน่วยงานกลยุทธ์การลงทุน บล. พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ยังปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องว่า จากบทวิเคราะห์ของสำนักวิจัยหลายๆ แห่งมองว่าโอกาสที่ราคนนำมันจะปรับลงไปในระดับ 35 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลภายในสิ้นปีนี้ได้ เพราะที่ผ่านมากำลังการผลิตน้ำมันโดยรวมยังเพียงพอต่อความต้องการของผู้ใช้ ตอนนี้ในส่วนของผู้ค้าน้ำมันใหญ่ OPEC ใช้กำลังการผลิตถึง 96 % แต่ด้วยความกังวลในเรื่องที่เกี่ยวข้องทำให้ราคาน้ำมันปรับขึ้นไปอย่างรวดเร็ว เมื่อความกังวลในเรื่องต่างๆ หมดไปราคาในส่วนนี้น่าจะลดลงไปเอง
        ?ผมเชื่อว่าราคาน้ำมันยังน่าจะอยู่ในระดับสูงต่อไป เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันในช่วงไตรมาส 4 จะสูงขึ้นเพราะอยู่ในช่วงฤดูหนาว หากจะมีการปรับลดลงน่าจะเริ่มมีสัญญาณที่ชัดเจนในช่วงไตรมาส1ปีหน้า?นายสุกิจกล่าว
        อย่างไรก็ตามสาเหตุที่ทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวขึ้นมาเคลื่อนไหวบริเวณ 43-44 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลนั้น เกิดจากความกังวลในเรื่องภัยของการก่อการร้าย และข่าวการวางระเบิดในสถานที่สำคัญในหลายประเทศ นักลงทุนจึงบวกราคาในส่วนนี้รวมเข้าไปด้วย(วอล์ พรีเมี่ยม) ทำให้ราคาน้ำมันในขณะอยู่ระดับที่สูงเกินความเป็นจริง และหากดูในส่วนของราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้าระยะ 24 เดือนแล้ว จะเห็นได้ว่าปัจจุบันซื้อขายกันที่ระดับ 32 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ระยะยาวราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะปรับตัวลดลงด้านค่าเฉลี่ยของราคาน้ำมันในช่วง 8 เดือนอยู่ที่ระดับ 37 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
        ทั้งนี้หากคาดว่าในช่วง 4 เดือนจากนี้ราคาน้ำมันอยู่ในระดับ 50 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จะทำให้ราคาน้ำมันเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 41 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งจะเป็นผลทำให้ต้นทุนดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เงินทุนหลักทรัพย์ พลังงาน และปิโตรเคมี เพิ่มประมาณ 3-4% ซึ่งต้นทุนตรงนี้เองยังส่งผลต่ออัตรากำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนทั้งระบบประมาณ 6%
        ในส่วนเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)และธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท) นั้นการปรับขึ้นน่าจะมีอัตราที่ต่ำลงกว่าที่หลายฝ่ายประมาณการไว้ก่อนหน้านี้ แต่ยังมองว่าน่าจะมีการปรับขึ้น โดยในวันที่ 10 ส.ค. ธนาคารกลางสหรัฐจะมีการประชุมเรื่องอัตราดอกเบี้ย ถ้าหากมีนโยบายที่ปรับขึ้นธปท.ก็น่าจะมีการปรับขึ้น ก่อนกำหนดการประชุม 25 ส.ค.ก็ได้ เพื่อป้องกันเงินที่จะไหลออกจากระบบ และเพื่อป้องกันความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าการปรับขึ้นคงเป็นลักษณะค่อยเป็นค่อยไป และอาจจะปรับตัวไม่ถึงระดับที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้
        สำหรับเรื่องข่าวการเข้าเก็บหุ้นหลังจากที่ดัชนีในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลงไประดับที่สูง จุดที่น่าจะมีแรงซื้อเข้ามาอยู่ที่ 600 จุดโดยเชื่อว่ากองทุนขนาดใหญ่ทั้งกองทุนวายุภักษ์ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) น่าจะเริ่มทยอยเก็บหุ้นที่มีพื้นฐานดีและราคาต่ำเขาพอร์ตบ้าง ทั้งนี้เพื่อไม่ใช้ Momentum ของตลาดหลักทรัพย์เป็นช่วงขาลงทั้งการทิศทางการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์สัปดาห์นี้ คาดว่าจะยังคงเคลื่อนไหวผันผวน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายลดลง การปรับลงของดัชนีมาที่แนวรับสำคัญ 600 จุดมีความเป็นไปได้ที่จำได้เห็น คำแนะนำการลงทุนกลุ่มธุรกิจที่ยังน่าสนใจลงทุนเป็นหุ้นในกลุ่ม พลังงาน ปิโตรเคมี และธนาคารพาณิชย์

ที่มา www.manager.co.th
       
       

เข้าชม: 1,586

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com