May 3, 2024   12:36:46 AM ICT
เปิดคัมภีร์สู่ความมั่งคั่งฉบับ มนตรี ฐิรโฆไท
ผมคิดว่าปัญหาทุกปัญหามันแก้ไขได้ มีทางออกอยู่เสมอ ถ้าเราท้อแท้ เราไม่ต่อสู้ สุดท้ายเราก็ต้องพ่ายแพ้ แต่ถ้าเกิดเราไม่ท้อแท้ แล้วก็ต่อสู้ อุปสรรคต่างๆ ที่มีอยู่ มันก็ต้องสามารถแก้ไขได้

อุปสรรคและปัญหาเป็นเสมือนหนึ่งบททดสอบชีวิตของมนุษย์ที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้ จนมีคำกล่าวว่า เกียรติภูมิที่ยิ่งใหญ่นั้น หาใช่มิเคยล้ม หากแต่สามารถที่จะลุกขึ้นได้ทุกครั้งที่ล้ม คำกล่าวนี้ไม่เกินเลยไปสำหรับ มนตรี ฐิรโฆไท กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัทอินเตอร์เนชั่นแนล รีเสิร์ช คอร์ปอเรชั่น (IRCP)

ในฐานะของนายกสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทยคนปัจจุบัน เขามีส่วนอย่างมากในการส่งเสริมและสนับสนุนในการให้ความรู้ด้านการลงทุนกับเยาวชนรุ่นใหม่ของประเทศผ่านโครงการ นักลงทุนรุ่นใหม่ ซึ่งปัจจุบันเป็นรุ่นที่ 6 แล้ว

เส้นทางด้านการลงทุนของมนตรีเรียกว่าไม่ธรรมดา เพราะสมัยเรียนนั้น เขาเล่าให้ฟังว่าอาจารย์มาเก็บค่าเทอม จำได้ว่ายังไม่มีเงินจ่ายค่าเทอมเลย จากจุดนั้นทำให้เขาตั้งปณิธานที่จะตั้งใจเรียนหนังสือให้เก่งๆ โดยหวังว่าสักวันหนึ่งจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งปัจจุบันสิ่งที่เขาเคยฝันในวัยเยาว์นั้น ไม่ใช่ความฝันอีกต่อไปแล้ว

หลังจากเรียนจบ มนตรีก็เริ่มต้นชีวิตการทำงานของเขาครั้งแรกที่ธนาคารกรุงเทพ ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่อำนวยสินเชื่อ ด้วยเงินเดือนเริ่มต้น 3,750 บาท แต่เขาก็เริ่มวางแผนทางการเงินในชีวิตแล้วว่าจะต้องออมอย่างไร ลงทุนอย่างไร ตอนนั้นยังไม่ได้แต่งงานก็ตัดสินใจลงทุนร่วมกับแฟน ซึ่งก็คือภรรยาคนปัจจุบัน ด้วยการกู้เงินมาซื้อที่ดิน โดยผ่อนชำระเดือนละ 4,000 บาท

ต่อมาเมื่อสามารถขายที่ได้เงินมาก้อนหนึ่ง มนตรีก็นำเงินไปซื้อหุ้นไอพีโอของบริษัทจรุงไทยไวร์แอนด์เคเบิ้ล (CTW) ที่ลูกค้าให้มา ซื้อได้พักหนึ่งเมื่อหุ้นเข้าตลาด ราคาปรับขึ้นจาก 42 บาท ขึ้นไป 100 บาท ก็ทำให้มีกำไรจากการขายหุ้น ก่อนที่จะตัดสินใจลาออกจากงานเดิมมาทำงานร่วมกับลูกค้า เอาหุ้นบริษัทคอมพาสต์ อีสต์ อินดัสทรีส์ (CEI) เข้าตลาดหลักทรัพย์ ทำให้เขาเริ่มมีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องราวของการลงทุนว่าเป็นอย่างไร แล้วก็เริ่มแสวงหาผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เรื่อยมาตั้งแต่สมัยนั้น แต่ด้วยความที่เป็นคนหนุ่ม ทำให้ตัดสินใจเลือกลงทุนด้วยวิธีมาร์จิน

สมมติมีเงินอยู่ 100 บาท ผมก็ไปกู้มาอีก 100 บาท แล้วก็นำเงินทั้งหมด 200 บาทที่มีอยู่ ไปลงทุนในหลักทรัพย์ทั้งหมด ในช่วงที่หุ้นขึ้นไป 1,700 จุด ก็โชคดี เพราะมีแต่กำไรกับกำไรอย่างเดียว แต่หลังจากที่หุ้นหล่นลงมาจาก 1,700 จุด เหลือ 200 กว่าจุด ก็มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ติดหุ้น แล้วก็มีต้นทุนดอกเบี้ยจ่าย เพราะว่าเรากู้เงินเขามาเล่น แต่หลังจากที่สามารถหลุดพ้นจากช่วงวิกฤติครั้งนั้นมาได้แล้ว ก็ทำให้พฤติกรรมการลงทุนของผมเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน

มนตรีบอกว่า การลงทุนที่ถูกต้องควรจะใช้เงินออมที่มีอยู่มาลงทุน โดยปัจจุบันนี้ มนตรีได้มีการจัดสรรพอร์ตการลงทุนของเขาใหม่ โดยนำเงินส่วนหนึ่งไปซื้อที่ดิน บ้าน รถยนต์ เงินออมที่เหลือจากตรงนี้ก็จะนำมาแบ่งสรรอีกครั้ง ส่วนหนึ่งเก็บไว้เป็นเงินสดไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน อีกส่วนหนึ่งก็เอามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะแบ่งเป็นการลงทุนระยะยาว, ระยะปานกลาง แล้วก็เล่นเก็งกำไรระยะสั้นบ้างบางส่วน แต่ประมาณ 70% จะเป็นการลงทุนในหุ้นโดยดูจากปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก แล้วบางครั้งบางคราวก็ลงทุนผ่านกองทุนรวมที่จะได้ประโยชน์จากการลดหย่อนภาษี

เงินอีกส่วนหนึ่งก็เอามาลงทุนในบริษัททั่วไป โดยลงทุนทำนิตยสาร Make Money ร้านอาหารกินดื่ม ทูซิท ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งตั้งใจว่าในอนาคตจะนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เช่นกัน และยังเปิดโรงเรียน Meta Academy School ที่จังหวัดนครปฐมอีกด้วย ส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งที่ชอบและสิ่งที่ตัวเองรัก แม้ไม่ได้เงินแต่ก็ยังทำอยู่

มนตรีแนะนำว่า นอกจากเงินที่จะนำมาลงทุนควรจะใช้เงินออมแล้ว ยังควรจะลงทุนในสิ่งที่มีสภาพคล่องด้วย เพราะการลงทุนในสิ่งที่ไม่มีสภาพคล่อง ในวันที่ต้องการเงินสดยามฉุกเฉินจะไม่มี เรื่องสภาพคล่องจึงเป็นเรื่องที่สำคัญเช่นเดียวกัน เขาเคยคิดจะวางมือหลังจากที่ชีวิตผ่านพ้นช่วงวิกฤติปี 40 มาได้ แต่ก็คิดว่าตัวเองเคยประสบความสำเร็จมาแล้ว เคยเจ็บปวดมาแล้ว เคยเจ็บตัว เคยขาดทุน จากตรงนั้นมีทั้งความทุกข์ ความสุข ถ้าตัวเองหยุด โดยที่ยังไม่ได้ถ่ายทอดสิ่งต่างๆ เหล่านี้ให้กับคนอื่นๆ ก็รู้สึกว่าไม่มีประโยชน์ จึงคิดว่าทำไมเราไม่บอกคนอื่น เพื่อให้เขามีโอกาสเรียนรู้จากสิ่งที่เราเคยประสบมา นั่นทำให้ตัดสินใจกลับมาลงทุนอีกครั้ง แต่ก็ระมัดระวังมากขึ้นกว่าในอดีต

ทุกวันนี้การลงทุนในหุ้นยังมีน้อยอยู่ เพราะทุกวันนี้มีอยู่ประมาณ 3 แสนกว่าบัญชี แล้วมีบัญชีที่แอ็คทีฟ ประมาณ 6-7 หมื่นบัญชีเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นคนที่มีเงินมีเยอะ แต่คนที่เอาเงินมาลงทุนในหุ้นยังมีน้อยอยู่ ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่าตลาดหลักทรัพย์ คือที่ๆ ทำเงินให้กับผมมากที่สุดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แล้วก็เป็นที่ๆ ให้ความรู้ ให้ประสบการณ์ชีวิตผมมากที่สุด ให้เรารู้ว่าลงทุนผิดพลาด แล้วเป็นอย่างไร ถ้าลงทุนถูกแล้วเป็นอย่างไร

มนตรีฝากมาบอกว่า สำหรับผู้ที่ยังไม่มีความรู้เรื่องการลงทุน ก็ควรจะไปหาความรู้ก่อน หรือจะมาเรียนกับสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทยก็ได้ ถ้าเรียนแล้วมีความรู้ก็ไปลงทุนด้วยตัวเอง แล้วก็พยายามแบ่งการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยง ส่วนตัวแล้วคิดว่าการที่คนไทยจะใช้ตลาดหลักทรัพย์ เป็นทางเลือกหนึ่งในการที่จะเอาเงินมาลงทุนเพื่อได้กำไร สามารถทำได้

แต่ทั้งนี้ก็คงต้องขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่ละคน ว่ามีเงินออมเพียงพอมั้ย มีความรู้ความเข้าใจเพียงพอมั้ย ถ้ามีเงินออมเพียงพอ มีความรู้ความเข้าใจเพียงพอ ตลาดหลักทรัพย์ก็คงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการที่จะได้ใช้เงินออมของตัวเองมาสร้างผลตอบแทนให้กับตัวเองให้มากยิ่งขึ้นได้

แต่สิ่งที่สำคัญก็คือว่าต้องอาศัยปัจจัยพื้นฐานในเรื่องของการลงทุน เพราะตัวปัจจัยพื้นฐานจะเป็นตัวช่วยลดความเสี่ยง ในเมื่อตัวหุ้นที่เราลงมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี ไม่ว่าสถานการณ์อะไรจะเกิดขึ้น มันก็ยังเอาตัวรอดของมันเองได้ ถ้าลงทุนถูกต้องแล้ว เข้าใจมัน ไม่ว่าจะเกิดปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น มันก็ต้องแก้ไขได้ ผมคิดว่าปัญหาทุกปัญหามันแก้ไขได้ มีทางออกอยู่เสมอ ถ้าเราท้อแท้ เราไม่ต่อสู้ สุดท้ายเราก็ต้องพ่ายแพ้ แต่ถ้าเกิดเราไม่ท้อแท้ แล้วก็ต่อสู้ อุปสรรคต่างๆ ที่มีอยู่ มันก็ต้องสามารถแก้ไขได้

สำหรับเส้นทางสู่ความมั่งคั่งแบบฉบับของมนตรีนั้น สั้นและง่าย คือ มีความรู้ ความเข้าใจ และก็ต้องมีวินัยในการลงทุนด้วย

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ

เข้าชม: 2,330

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com