May 4, 2024   12:00:54 AM ICT
เล่นกับเงิน ? ทอง

เมื่อเร็ว ๆ นี้มีข่าวเล็ก ๆ เกี่ยวกับการลงทุนชิ้นหนึ่งปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ว่า วอเร็น บัฟเฟตต์ ได้ลงทุนซื้อเงินตราต่างประเทศหลัก ๆ ของโลก 5 สกุลคิดเป็นเงินจำนวนประมาณ 19 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตั้งแต่ช่วงครึ่งแรกของปี 2004

การซื้อเงินตราต่างประเทศนั้นหมายความว่า วอเร็น บัฟเฟตต์ คาดว่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับเงินของประเทศหลักอื่น ๆ ตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมาเหตุผลของบัฟเฟตต์คงจะเป็นว่าเศรษฐกิจของสหรัฐนั้นขาดทั้งดุลการค้าและดุลงบประมาณมาหลายปีจนเงินดอลลาร์นั้นจะไม่สามารถยืนอยู่ได้ จะต้องลดค่าลงเพื่อปรับตัวให้ภาวะเศรษฐกิจกลับมาอยู่ในภาวะที่สมดุล

ในขณะนี้ดูเหมือนว่าการคาดการณ์ของบัฟเฟตต์จะถูกต้อง เพราะค่าดอลลาร์ร่วงลงมาอย่างหนักและบัฟเฟตต์ก็คงจะทำกำไรมหาศาลจากการ ?เก็งกำไร? ครั้งนี้ และเป็นการตอกย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า วอเร็น บัฟเฟตต์ นั้น เป็นสุดยอดของนักลงทุนที่หาคนเทียบได้ยากจริง ๆ

แต่สิ่งที่ผมทึ่งมากกว่านั้นก็คือ นี่ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่ วอเร็น บัฟเฟตต์ มาเล่นกับตลาดเงินซึ่งเป็นตลาดของนักเก็งกำไรเป็นหลัก และคนที่น่าจะเป็นข่าวมากกว่าก็คือ จอร์จ โซรอส ซึ่งหากินกับตลาดนี้มานาน

บัฟเฟตต์เปลี่ยนไปหรือ? และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเข้ามา ?เก็งกำไร? กับความผันผวนของราคา ก่อนหน้านี้ไม่นานเขาก็เข้าไปซื้อโลหะเงินมหาศาล กิจกรรมเหล่านี้ไม่ได้เป็นการทำธุรกิจ สร้างรายได้ มีกำไร และจ่ายปันผลให้อย่างต่อเนื่อง และเติบโตไปนานเท่านาน แต่เป็นสิ่งที่มีราคาขึ้นลงเนื่องจากอุปสงค์อุปทาน

ผลตอบแทนของการลงทุนขึ้นอยู่กับราคาในตลาดซึ่งคาดการณ์ได้ยาก บัฟเฟตต์กำลังทำอะไรที่สุ่มเสี่ยงหรือเปล่า การลงทุนเหล่านี้มี Margin of Safety ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ Value Investment ไหม?
ผมเองไม่คิดว่าบัฟเฟตต์เปลี่ยนไป และการลงทุนในเงินตราต่างประเทศหรือโลหะเงินนั้นไม่ได้มีอะไรขัดแย้งกับการเป็น Value Investor เท่าที่ผมเห็นและติดตามงานของเซียนระดับโลกทั้งหลายโดยเฉพาะบัฟเฟตต์เองนั้น ผมคิดว่าขอบเขตของการลงทุนของ Value Investor นั้น แทบไม่มีข้อจำกัด

อะไรก็ได้ที่ไม่ผิดกฎหมายและศีลธรรม แต่การลงทุนนั้นคุณจะต้องรู้ว่ามันมีมูลค่าที่แท้จริงเท่าไร และคุณสามารถซื้อมันได้ในราคาที่ถูกกว่ามาก โดยส่วนต่างนี้ก็คือ Margin of Safety ที่จะเป็นตัวรองรับหากมีอะไรผิดพลาด ประเด็นสำคัญก็คือ คุณจะต้องรู้ว่ามันควรมีราคาเท่าไรในอนาคต

โลหะเงินที่ วอเร็น บัฟเฟตต์ เข้าไปซื้อลงทุนนั้น เขาคงวิเคราะห์ดูแล้วว่ากำลังการผลิตที่มีอยู่ในโลกถดถอยลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ ในขณะที่ปริมาณการใช้เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะเกิดการขาดแคลน เขาคงเห็นแล้วว่าถ้าจะเพิ่มกำลังการผลิตใหม่ขึ้นมา ต้นทุนการผลิตจะสูงกว่าราคาโลหะเงินในขณะนั้นมาก ดังนั้นเมื่อถึงวันที่ปริมาณการใช้มากกว่ากำลังการผลิต ราคาของโลหะเงินจะต้องปรับตัวขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

คนเรียกการซื้อขายโลหะเงินว่าเป็นการเก็งกำไร แต่สำหรับบัฟเฟตต์แล้ว ผมคิดว่านี่ไม่ใช่การเก็งกำไรที่ไม่สามารถคาดการณ์อะไรได้ แต่มันเป็นการลงทุนที่มีโอกาสทำกำไรมหาศาลในขณะที่โอกาสขาดทุนมีน้อยมาก ราคาของโลหะเงินจะขึ้นไปเท่าไรอาจจะเป็นเรื่องยากที่จะทำนาย แม้ว่าอย่างน้อยคงจะต้องขึ้นไปเท่ากับต้นทุนการผลิตใหม่ แต่โอกาสที่โลหะเงินจะลดลงดูไปแล้วแทบจะไม่มีเมื่อคำนึงถึงปริมาณการใช้ของโลกที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้น สำหรับบัฟเฟตต์แล้ว นี่คือการลงทุนที่เป็น Value Investing ทุกประการ

เรื่องของเงินตราต่างประเทศดูเหมือนว่าจะมีความซับซ้อนกว่าโลหะเงินมาก เพราะการขึ้นลงของอัตราแลกเปลี่ยนดูเหมือนจะผันผวนมากและคาดการณ์ไม่ได้โดยเฉพาะในช่วงสั้น ๆ แต่ในระยะยาวแล้ว ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์น่าจะสามารถพยากรณ์ได้พอสมควร

ผมคงไม่พยายามที่จะอธิบายว่าทำไม วอเร็น บัฟเฟตต์ จึงเข้าไปซื้อเงินตราต่างประเทศ เพราะผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมเพียงแต่เชื่อว่าถ้าบัฟเฟตต์ไม่มั่นใจจริง ๆ ว่าเศรษฐกิจของสหรัฐจะต้องอ่อนตัวลงมาก และโอกาสที่จะแข็งตัวมีน้อยมาก เขาก็คงจะไม่เข้ามา ?เก็งกำไร? ในเรื่องนี้

สิ่งที่บัฟเฟตต์ทำนั้น ผมคิดว่าแตกต่างจากนักเก็งกำไรค่าเงินอย่างนักค้าเงินทั่ว ๆ ไป บัฟเฟตต์มักจะมองยาวกว่ามาก ไม่ใช่ซื้อวันนี้แล้วขายพรุ่งนี้หรือเดือนหน้าทำกำไรแค่ 1-2% และค้าเงินโดยอาศัยการกู้หรือเล่นมาร์จินเป็นส่วนใหญ่ แต่บัฟเฟตต์คงจะ Take Position หรือถือเงินเอาไว้นานพอสมควรเพื่อรอให้ความอ่อนแอของเศรษฐกิจปรากฏขึ้น และค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลงเป็น 10% ขึ้นไปถึงจะคิดขายทำกำไร เพราะฉะนั้น เวลาที่บัฟเฟตต์ลงทุน เขาจะทำตอนตลาดยังนิ่ง ในขณะที่นักค้าเงินมักจะเข้ามาเล่นกันมากตอนดอลลาร์ร่วงลงมาอย่างหนักแล้ว

ถามว่า Value Investor เล็ก ๆ อย่างเราท่านทั้งหลายควรเข้าไปเล่นเงินหรือทองที่ระยะนี้มีราคาปรับตัวขึ้นโดดเด่นและคนเริ่มแนะนำว่าเป็นการลงทุนที่ดีหรือไม่?

ผมอยากจะตอบว่า ถ้าเราไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญหรือมีความรู้เกี่ยวกับอุปสงค์อุปทานของทอง หรือเป็นนักเศรษฐศาสตร์ระดับเซียนที่จะบอกได้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเป็นอย่างไรในระยะต่อไป การที่จะเข้าไปเล่นเงินหรือทองน่าจะเป็นความเสี่ยงพอสมควร เพราะราคาของทั้งสองอย่างมีการปรับตัวไปแล้วค่อนข้างรุนแรง

ประเด็นก็คือ ถึงแม้ว่าราคาทองที่ปรับตัวสูงขึ้นมาอาจจะเป็นราคาที่เหมาะสมและไม่ปรับตัวลงมาแล้วก็ตาม แต่จากอดีตที่ผ่านมายาวนาน ผลตอบแทนจากการลงทุนในทองดูเหมือนว่าจะค่อนข้างต่ำมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะทองนั้นไม่เคยจ่ายปันผลเลย และราคาก็ไม่รับประกันว่าจะปรับขึ้นไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นการลงทุนในทองตอนนี้อาจจะไม่มี Margin of Safety เหลือแล้ว

นเรื่องของเงินดอลลาร์เอง การเล่นคงทำได้ไม่ง่ายนัก แต่ประเด็นก็กลับมาที่เดิมว่า เรามักจะสนใจเมื่อดอลลาร์มีการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงแล้ว ซึ่งลักษณะแบบนี้ก็เหมือนกับ ?แมงเม่า? ที่มักจะมาตอนที่ ?ไฟ? ติดแล้ว โอกาสที่จะถูก ?เผา? มีไม่น้อย

ข้อสรุปสุดท้ายของผมก็คือ ถ้าเรายังไม่แน่จริงในการที่จะวิเคราะห์ภาพในระดับโลกของเงิน ทอง และโภคภัณฑ์ต่าง ๆ การเข้าไปเล่นในสิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องที่มีอันตรายสูงมากและไม่ใช่การลงทุนแบบ Value Investment ครับ

ที่มา บทความของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

เข้าชม: 2,050

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com