May 4, 2024   10:51:10 AM ICT
เปลือยประสบการณ์เซียนหุ้นพันธุ์แท้ นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ขึ้นทำเนียบว่าเป็น เซียนหุ้นพันธุ์แท้ และเป็น Value Investor ตัวจริง เสียงจริง ที่เอาชนะตลาดหุ้นได้มากกว่าแพ้ ใช่แล้ว เรากำลังพูดถึง ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ที่ปรึกษาบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) นครหลวงไทย

แน่นอนว่า เมื่อเอ่ยถึง ดร.นิเวศน์ นักลงทุนส่วนใหญ่คงนึกไปถึงนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นไทย ด้วยสไตล์การลงทุนแบบ Value Investment ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจในหมู่นักลงทุนในวงกว้าง เพราะความสำเร็จนั้นนำเขาให้พบกับอิสรภาพทางการเงินในปัจจุบัน แต่ความสำเร็จนั้นก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตในด้านการงานของเขาแต่ประการใด

ดร.นิเวศน์ย้อนอดีตในวัยเด็กให้ฟังว่า เขาเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะค่อนข้างยากจน นั่นทำให้เขาเป็นคนรู้จัก อดออม และระมัดระวังการใช้จ่ายมาตั้งแต่วัยเด็ก เมื่ออยู่ชั้นประถมก็มีโอกาสได้เริ่มต้นลงทุนด้วยการค้าขายเล็กๆ น้อยๆ ตามประสาเด็ก เช่น ไอศกรีม, ตังเมหลอด, สายไหม เป็นต้น

ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าจะทำเพื่อหาเลี้ยงตัวเอง แต่ทำไปเพื่อที่จะได้ใช้เงินพ่อกับแม่ให้น้อยลง และผมเองก็มีความสุขกับการที่ได้ทำงานแล้วได้เงินมา นั่นทำให้ผมใฝ่ฝันที่จะเป็นผู้ประกอบการมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็ก

แต่ท้ายที่สุดแล้ว ดร.นิเวศน์ก็ไม่ได้เป็นผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจตามที่ตัวเองใฝ่ฝันตั้งแต่วัยเยาว์ เหตุผลสำคัญซึ่งเป็นจุดพลิกผันในชีวิตของเขาก็คือ การศึกษา

เขายอมรับตรงไปตรงมาว่า เมื่อเรียนมากเข้า ทำให้รู้เรื่องของ ความเสี่ยง มากเกินไป และทำให้เขาตัดสินใจไม่เป็นผู้ประกอบการอย่างที่ฝันไว้

ผมเชื่อว่ายิ่งคุณเรียนสูงมากเท่าไร โอกาสที่คุณจะเป็นผู้ประกอบการก็น้อยลงเท่านั้น แน่นอนโอกาสที่คุณจะรวยก็น้อยลงด้วย แต่โอกาสจะทำให้คุณอยู่สุขสบายพอสมควร แต่การเป็นคนชั้นกลางที่มีรายได้ดีจะมีสูงขึ้น

ดร.นิเวศน์ขยายความให้ฟังว่า คุณเรียนหนังสือจบมาทำงานรับจ้างกินเงินเดือน เป็นมนุษย์เงินเดือน แต่ก็มีเงินเดือนค่อนข้างดี มีชีวิตที่มีความสุขพอสมควร แต่อาจจะไม่รวย แต่ถ้าคุณเป็นผู้ประกอบการ ไม่จำเป็นต้องเรียนสูงมาก เรียนแค่จบปริญญาตรีก็พอแล้ว แล้วก็ไปเป็นผู้ประกอบการ แบบนั้นคุณมีโอกาสรวยเร็ว แต่ก็มีโอกาสกระท่อนกระแท่นได้เช่นกัน เพราะอาจจะไม่มีรายได้ดีเท่าไร และอาจจะต้องปากกัดตีนถีบไปเรื่อยๆ ถ้าโชคดีก็อาจรวย

นี่ถ้าผมไม่ได้เรียนปริญญาเอกมาถึงดอกเตอร์ ผมก็คงจะไปทำธุรกิจนั่นแหละ เพราะมีความรู้สึกอยากเป็นผู้ประกอบการตั้งแต่เด็ก แต่ก็โชคดีที่มาเกี่ยวพันกับเรื่องหุ้น ทำให้ผมคิดได้ว่า เมื่อเป็นผู้ประกอบการไม่ได้ ก็ขอลงทุนกับผู้ประกอบการก็แล้วกัน เป็นทางเลือกอีกทางหนึ่ง ซึ่งผมคิดว่าดีมาก

การลงทุนในหุ้นของ ดร.นิเวศน์เริ่มต้นมาประมาณ 10 ปีเท่านั้น ช่วงแรกที่เข้ามาลงทุนในหุ้นก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรมากมาย ซื้อๆ ขายๆ เก็งกำไรเหมือนกับนักลงทุนส่วนใหญ่ที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก บางช่วงก็มีหุ้น บางช่วงก็ไม่มีหุ้น ช่วงนี้หุ้นดีก็เข้าไปเล่นบ้าง ตอนนั้นเงินลงทุนยังไม่มากเท่าไร จะเสียหายไปบ้างเขาก็ไม่เดือดร้อน เรียกว่าเป็นความสนุกมากกว่า

เขายกตัวอย่างว่า วันแรกในตลาดหุ้นของวอเรนต์ บัฟเฟตเซียนหุ้นบรรลือโลก ก็เหมือนกับนักลงทุนทั่วไปที่พยายามซื้อๆ ขายๆ พยายามที่จะเล่นหุ้นเหมือนกัน แต่เขาสามารถค้นพบได้เร็ว ว่ามันเป็นวิธีการที่ไม่สามารถทำให้เขาประสบความสำเร็จได้ เขาก็เปลี่ยนวิธีได้เร็ว เพราะได้อาจารย์ที่ดีตั้งแต่วันแรก

แต่พอเริ่มซีเรียสและเริ่มจริงจังกับหุ้น เพราะเริ่มเห็นโอกาสแล้วว่า หุ้นเป็นช่องทางหนึ่งที่จะทำให้ผมประสบความสำเร็จ ทำให้ผมมีอิสรภาพทางการเงินได้ ผมก็เริ่มลงไปทำอย่างจริงจัง แล้วมันเริ่มเห็นผลลัพธ์ หลังจากนั้นก็ไม่หันหลังกลับไปแล้ว หมายความว่าผมเห็นแล้วว่าผมจะไปทางไหน ผมซาบซึ้ง เข้าใจ และประสบความสำเร็จจากการลงทุนในหุ้น

ปัจจุบันสินทรัพย์ของ ดร.นิเวศน์ 99% ลงทุนอยู่ในหุ้น เหลืออีก 1% เป็นเงินสดเอาไว้ใช้จ่าย เมื่อถามว่าเขาเป็นนักลงทุนแบบเอ็กเกรสซีฟหรือไม่ ดร.นิเวศน์ตอบว่า เขาไม่ใช่คนที่กล้าได้กล้าเสีย ไม่ใช่คนที่ชอบเสี่ยง แต่ชอบที่จะเดินไปแบบ ช้าๆ แต่มั่นคง และโอกาสเสียหายต้องไม่มี

นั่นหมายถึงว่า ถ้ามีอะไรสักอย่างที่มีโอกาสรวยเร็วมากเลย 70% โอกาสเสียหายหนัก 30% เขาจะไม่เข้าไปลงทุนเลย ในขณะที่พวกกล้าได้กล้าเสีย หรือพวกที่ชอบเสี่ยงจะลงไปทันที

แต่เขาก็ยอมรับว่าเป็นคนที่รักหุ้นจริงๆ มีเงินเท่าไร อยากจะไปซื้อหุ้น มากกว่าจะไปซื้ออย่างอื่น

คุณบอกให้ผมไปซื้อรถ ซื้อที่ดิน เวลานี้ผมไม่ค่อยอยาก คือ ถ้าจะซื้อก็ต้องซื้อในราคาที่มันยุติธรรมมากๆ ให้พอใช้ได้ จะไม่เอาเงินเยอะแยะไปซื้ออะไรที่เกินความจำเป็น

ดร.นิเวศน์มองว่า กำไรมากหรือกำไรน้อย สำหรับเขาไม่ค่อยซีเรียสมาก แต่อย่าให้เสีย เป็นแบบกล้าได้อย่างเดียว กล้าเสียไม่เอา คือ ต้องมั่นใจพอสมควรทีเดียวว่าโอกาสเสียน้อยมาก ชัวร์มาก ถ้าบอกว่ามีโอกาสเสียมากอันนั้นไม่เอา เพราะฉะนั้นทุกตัวที่ลงทุนไปจะคิดเรื่องดาวน์ไซด์มากเลย

และถ้ามองย้อนหลังกลับไปดูการลงทุนในหุ้นของเขา จะเห็นว่าไม่ค่อยมีตัวที่ขาดทุนเลย น้อยมาก ส่วนใหญ่ที่ลงไปกำไรหมด กำไรมาก กำไรน้อย กำไรช้า กำไรเร็วเท่านั้นเอง แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เข้าผิดตัว ขาดทุนก็จะขายทิ้งทันที

ดร.นิเวศน์ให้นิยามสไตล์การลงทุนของตัวเองว่า เป็นนักลงทุนที่ คอนเซอร์เวทีฟในแง่ของการเลือกหุ้น ทำให้หุ้นที่เขาถืออยู่มีคาแรคเตอร์ที่แตกต่างกันออกไป ถึงแม้ว่าเขาจะลงทุนในหุ้น 99% ก็ตาม แต่ก็เป็นการลงทุนที่ปลอดภัยมาก เพราะเขาไม่ได้ลงทุนซื้อหุ้น แต่เป็นการลงทุนซื้อกิจการ และกิจการที่เขาเลือกลงทุนก็มีประมาณ 20 อย่าง แล้วก็เป็นกิจการ 20 อย่างที่ไม่เหมือนกันเลย แตกต่างกันมาก

เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่ไข่ใบเดียว แต่เป็นไข่ที่กระจายไปมากกว่า 20 แห่ง ตรงนี้ความเสี่ยงก็จะไม่มากอย่างที่ทุกคนมองกัน

แต่คนภายนอกมองเขาอาจจะไม่คิดเช่นนั้น เพราะการลงทุนในหุ้น 99% คนส่วนใหญ่จะคิดว่าเสี่ยงมาก เพราะเขาคิดว่าหุ้นคือสิ่งเดียวกัน คิดว่าหุ้นทุกตัวก็คือหุ้น มีขึ้นๆ ลงๆ อาจจะกลายเป็นศูนย์วันไหนก็ได้ ก็อาจจะมองว่าเสี่ยงมากที่ลงทุนในหุ้นถึง 99% เพราะว่าเขาไม่รู้ไง เหมือนกับช่างไฟย่อมสามารถที่จะสามารถจับสายไฟด้วยมือเปล่าได้ เพราะเขารู้ว่ามันปลอดภัย แต่คนที่ไม่รู้ก็จะไม่กล้าจับ เพราะคิดว่ามันอันตราย

ประสบการณ์และมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนของ ดร.นิเวศน์ อาจจะจุดประกายความคิดให้คุณได้ค้นพบเส้นทางการลงทุนที่เหมาะสมกับตัวคุณเองก็ได้

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ

เข้าชม: 2,896

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com