April 29, 2024   9:06:30 AM ICT
บ้านปูตั้งเป้ารายได้รวมปีหน้า 40%

เปิดเหมืองถ่านหินใหม่ในจีนสิ้นปีนี้ ผลจากความต้องการใช้กับราคาถ่านหินพุ่งต่อเนื่อง พร้อมเตรียมขยายการลงทุนหวังเพิ่มสัดส่วนรายได้

บ้านปู มั่นใจยอดขายปีหน้าแตะ 2 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 40% จากปี47 เนื่องจากความต้องการใช้กับราคาถ่านหินพุ่งต่อเนื่อง พร้อมวางแผนระยะยาว 4 ปี ใช้เงินลงทุน 444 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รุกขยายการลงทุนในจีน หวังดันสัดส่วนรายได้เพิ่มเป็น 20-30% พร้อมเปิดเหมืองถ่านหินใหม่ที่จีนอีกแห่ง คาดสรุปสิ้นปีนี้ หวังขึ้นเป็นผู้ผลิตถ่านหินอันดับ 3 ในอินโดนีเซียปี 2549

นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบ้านปู กล่าวว่าในปี 2548 บริษัทคาดว่าจะมีรายได้รวมในปีหน้าอยู่ที่ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท จากปีนี้มีรายได้รวมประมาณ 1.57 หมื่นล้านบาท เนื่องจาก 3 ปัจจัยหลักประกอบด้วย ปริมาณการขายถ่านหินในปีหน้าจะอยู่ที่ 19 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีนี้ปริมาณการขายอยู่ที่ 15.6 ล้านตัน หรือเติบโตประมาณ 22% เรื่องของราคาถ่านหินที่เพิ่มขึ้น และเชื่อว่าในปีหน้าราคาเฉลี่ยถ่านหินจะสูงกว่าปีนี้ซึ่งมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 25 เหรียญต่อตัน และเรื่องของเหมืองทูบาอินโดจะเริ่มผลิตได้ประมาณ 3 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้น 15-16% ปริมาณสำรองที่มีอยู่ทั้งหมด และถ่านหินที่เหมืองดังกล่าวจะมีคุณภาพดีกว่า และเสนอขายสูงกว่าถ่านหินปกติ 4-5 ดอลลาร์ต่อตัน

ส่งผลให้บริษัทมียอดขายที่เพิ่มขึ้น เมื่อความต้องการใช้ถ่านหินเพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทจึงต้องวางแผนระยะยาว 4 ปี โดยจะลงทุนในโครงการใหม่ๆ ซึ่งจะใช้เงินลงทุนประมาณ 444 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในระยะเวลา 4 ปี ซึ่งจะเน้นโครงการเหมืองถ่านหิน หรือถ่านหินที่เกี่ยวข้องกับโรงไฟฟ้า และประเทศที่จะเข้าไปขยายการลงทุนเพิ่มคือ ประเทศจีน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาหาพื้นที่ก่อสร้าง คาดว่าอยู่ทางทิศตะวันออก และจะสรุปประมาณสิ้นปีนี้ ซึ่งปัจจุบันมีเหมืองดานิ่ง อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งจะแล้วเสร็จกลางปี 2548 และมีกำลังการผลิต 4 ล้านตัน

บ้านปูจะรุกไปจีนมากขึ้น เพราะว่าปริมาณความต้องการใช้ในประเทศจีนสูงขึ้นประมาณ 1.4-1.5 ล้านตันต่อปี ขณะที่ในแถบเอเชีย 2 พันล้านตันต่อปี ส่วนอินโดนีเซีย 300-400 ตันต่อปี ซึ่งอนาคตจีนจะเป็นตลาดสำคัญของบ้านปู เพราะเป็นตลาดที่ใหญ่มาก คาดว่าสัดส่วนรายได้ของบ้านปูจะอยู่ที่ จีนประมาณ 20-30% ขณะที่โครงสร้างรายได้จะมาจากถ่านหิน 70% และ 30% ธุรกิจไฟฟ้า นายชนินท์กล่าว

สำหรับแนวโน้มของราคาถ่านหิน คาดว่าจะอยู่ในระดับสูงประมาณ 59-60 ดอลลาร์ต่อตันไปจนถึงกลางปีหน้า เนื่องจากการที่ราคาน้ำมันและก๊าซปรับตัวสูงขึ้น จึงหันมาใช้ถ่านหินเพิ่มขึ้น รวมทั้งความต้องการในประเทศจีนและอินเดียจะสูงขึ้น หรือถ้าหากมีการปรับตัวลงมาราคาก็ไม่ต่ำกว่า 40 ดอลลาร์ต่อตัน บวกลบไม่เกิน 5 ดอลลาร์ต่อตัน

ด้านนางสมฤดี สมพงษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน เปิดเผยว่า บริษัทได้วางแผนระยะยาว 5 ปี โดยตั้งเป้าหมายว่า จะมีปริมาณสำรองเพิ่มขึ้นประมาณ 500 ล้านตัน จากปัจจุบันมีปริมาณสำรอง 300 ล้านตัน ทำให้มีปริมาณสำรองถ่านหินเพิ่มเป็น 800 ตัน โดยปริมาณการขายแต่ละปีจะเพิ่มขึ้นเป็น 19 ล้านตันในปีหน้า 21 ล้านตันในปีต่อไป

อย่างไรก็ตาม อนาคตบริษัทจะมีเหมือนถ่านหินในประเทศอินโดนีเซีย 5 แห่ง ไทย 2 แห่ง และจีนอีก 1-2 แห่ง จากปัจจุบันมีอยู่แล้ว 1 แห่ง และขณะนี้มีแผนที่จะขยายการลงทุนในจีนเพิ่มต่อเนื่อง เพราะขณะนี้กฎหมายเรื่องการเงินมีความคล่องตัวมากขึ้น และการลงทุนก็ง่ายขึ้น ทำให้บริษัทจะเปิดเหมืองแห่งใหม่ในจีนเพิ่มอีก คาดว่าจะสรุปได้ภายในสิ้นปีนี้

สำหรับแหล่งเงินทุนที่จะนำมาใช้ในโครงการระยะยาว บริษัทจะนำเงินจากการดำเนินธุรกิจ ปัจจุบันบริษัทมีกระแสเงินสดประมาณ 100 ล้านดอลลาร์ต่อปี เงินจากการขายบริษัทที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักของบริษัท รวมทั้งอาจจะมีการกู้เงินในอนาคต เนื่องจากบริษัทมีหนี้สินต่อทุนอยู่ในระดับต่ำ 0.3 เท่า และบริษัทประเมินว่า หนี้สินต่อทุนอยู่ในระดับที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 1.1 เท่า ซึ่งบริษัทมีทุนอยู่ที่ 2 หมื่นล้านบาท ดังนั้นบริษัทมีความสามารถที่จะกู้เงินได้อีก 2 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ตามในปีนี้เมื่อเดือนที่ผ่านมา บริษัทได้กู้เงินเพื่อนำไปใช้ในโครงการทูบาอินโดมูลค่า 57 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นการกู้เงินแบบซินดิเคทโลนจากธนาคารเอ็กซิม กรุงเทพ และไทยพาณิชย์ อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ ไลบอร์บวก 4%

บริษัทหวังว่าในปี 2549 บริษัทจะเป็นผู้ผลิตอันดับ 3 จากปัจจุบันอยู่ที่อันดับ 4 ในประเทศอินโดนีเซียและการขยายการลงทุนไปในจีน จะทำให้บริษัทมีขนาดใหญ่มากขึ้น เนื่องจากความต้องการมีจำนวนมากสำหรับผลตอบแทนจากการลงทุนอยู่ในระดับ 15-20% นางสมฤดีกล่าว

ที่มา www.bangkokbiznews.com

เข้าชม: 1,685

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com