หลักของเศรษฐกิจพอเพียงให้ยึดถือแนวทางในการปฏิบัติตน 3 ข้อ ได้แก่
1.ความพอประมาณ
2.ความมีเหตุผล
3.สร้างภูมิคุ้มกัน
และเงื่อนไขประกอบแนวทางข้างต้นอีก 2 ข้อ คือ
1.การแสวงหาความรู้
2.การรักษาคุณธรรม
เมื่อนายกรัฐมนตรีได้ประกาศใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงเป็นนโยบายหลักของการพัฒนาประเทศ ก็เริ่มมีการวิพากษ์วิจารณ์จากชาวต่างประเทศ ที่เกรงว่านโยบายนี้จะนำไปสู่ความขัดแย้งทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
เพราะตีความไปว่าจะกลายเป็นนโยบายกีดกันทางการค้าตามนโยบายพึ่งตนเอง (self sufficiency)
ทั้งนี้ อาจรวมไปถึงการยึดครองกิจการบางอย่างเป็นของรัฐ (nationalization) และการเพิ่มกฎเกณฑ์การควบคุม (regulation)
ข้อกังขาข้างต้นได้รับการชี้แจงจากรัฐบาลว่าเป็นความเข้าใจผิดของชาวต่างประเทศ
แต่การชี้แจงนี้ก็ยังไม่สามารถแก้ข้อสงสัยของชาวต่างประเทศและชาวไทยบางคนได้ จนต้องมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชี้แจงเรื่องนี้ ซึ่งก็ถูกยุบไปเมื่อเกิดกระแสต่อต้านประธานกรรมการ (ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์)
การชี้แจงเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ยาก เพราะ ทั้งนโยบายเศรษฐกิจพอเพียง และประเด็นที่วิจารณ์กันข้างต้น มีรายละเอียดที่สร้างความเข้าใจให้ตรงกันได้ยากมาก
แม้ว่านโยบายพึ่งตนเอง การครอบครองกิจการบางอย่างของรัฐ และการสร้างกฎเกณฑ์ควบคุมธุรกิจจะเป็นสิ่งที่ดี แต่ทุกอย่างก็มีข้อเสีย เมื่อเห็นกันว่าข้อเสียมีมากเกินไปก็มีการผลักดันนโยบาย free trade, privatization และ deregulation ซึ่งเป็นกระแสหลักของโลกาภิวัตน์ในปัจจุบัน ปัญหาที่ขัดแย้งกันอยู่ก็คือจุดที่พอดีของแต่ละนโยบายอยู่ตรงไหน และในรายละเอียดควรยกเลิกอะไร ลดทอนอะไร และเพิ่มเติมอะไร
หลักสำคัญในการแก้ประเด็นปัญหาข้างต้น ก็คือ 1.หลักความพอประมาณ จะเป็นเครื่องเตือนสติว่าแต่ละนโยบายข้างต้นมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่จะต้องคำนึงทั้งสองด้าน จึงต้องศึกษาวิเคราะห์อย่างรอบคอบและชั่งน้ำหนักให้ได้จุดที่พอดี
2.หลักความมีเหตุผล เป็นเครื่องมือที่จะต้องใช้ในการหาคำตอบข้างต้นให้เหมาะสม และ ใช้บรรเทาความขัดแย้งอันอาจเกิดจากจุดยืน ที่ต่างกัน
3.หลักภูมิคุ้มกัน เป็นการสร้างความพร้อมในการรับมือกับความไม่แน่นอน ซึ่งเป็นธรรมชาติของเศรษฐกิจ
คำพังเพยหนึ่งที่มีคุณค่าอย่างยิ่งคือ “ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน” จากภาษิตนี้เราอาจขยายความต่อได้ว่า การตัดสินว่าสิ่งไหนดีสิ่งไหนไม่ดีต้องดูจากผลในระยะยาว ในทางเศรษฐศาสตร์เราจะมองผลระยะยาวจากการวิเคราะห์การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
ทฤษฎีว่าด้วยการเติบโตทางเศรษฐกิจนั้นสรุปอย่างกระชับได้ว่า ปัจจัยหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ประกอบด้วย
1.ทุน (ทางกายภาพ)
2.ทุนมนุษย์ (ความรู้และฝีมือ)
3.ทุนสังคม
ใน 3 ปัจจัยนี้ ทุนทางกายภาพเป็นสิ่งที่เข้าใจง่ายที่สุด และทุนสังคมเป็นสิ่งที่เข้าใจยากที่สุด
อย่างไรก็ตาม เราอาจสรุปสั้นๆ ได้ว่า ปัจจัยทั้ง 3 นี้เกิดจาก
1.ความอดทน
2.ความอดออม
3.ความซื่อสัตย์
ความอดออมเป็นที่มาของการสร้างทุน ทั้งทางกายภาพและทุนมนุษย์ แต่ทุนมนุษย์ยังต้องอาศัยความอดทนเพิ่มเข้ามาด้วย ทั้งความอดทนในการศึกษาเล่าเรียนและฝึกฝนฝีมือ ความอดทนในการค้นคว้าวิจัย และความอดทนต่อสิ่งเย้ายวน
ทุนสังคมเป็นสิ่งที่ช่วยให้การพัฒนาปัจเจกบุคคลเป็นไปได้ง่ายขึ้น และก่อให้เกิดความร่วมมือและลดความขัดแย้งกันในสังคม
หัวใจสำคัญข้อหนึ่งของทุนสังคมคือ ความเชื่อใจกัน (trust) ความเชื่อใจกันอยู่บนพื้นฐานของความซื่อสัตย์
หลักเศรษฐกิจพอเพียงมีความสอดคล้องอย่างยิ่งกับการสร้างความอดออม อดทน และซื่อสัตย์ การบริหารรายรับรายจ่ายอย่างมีเหตุผลและมีความพอประมาณเป็นการสร้างความอดออม
การสร้างภูมิคุ้มกันทำให้เราต้องมีความอดทนอดกลั้น ไม่หลงระเริง การมีคุณธรรมย่อมต้องรวมความซื่อสัตย์เป็นองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้
โพสทูเดย์
|