แหล่งข่าวกล่าวว่าขั้นตอนต่อไปทั้ง RRC และ ATC จะต้องไปพิจารณาว่ามีปัญหาหรือเรื่องเร่งด่วนอะไรหรือไม่ ที่จะต้องแก้ปัญหาและต้องนำเข้าเสนอต่อบอร์ดของทั้ง 2 บริษัทจากนั้นอาจมีการเจรจาร่วมกับเจ้าหนี้เพื่อแจ้งให้ทราบว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงชื่อบริษัทใหม่แล้วและต้องดำเนินการอย่างไรบ้างเป็นต้น
สำหรับการควบรวมกิจการครั้งนี้ หากทุกอย่างเป็นไปตามแผนไม่มีปัญหาเกิดขึ้น ช่วงปลายปี 2550 จะได้เห็นการควบรวมกิจการกันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบเบื้องต้นทั้ง RRC และ ATC ไม่มีปัญหาในด้านภาษีที่ได้รับการส่งเสริมตามกฎของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)แต่อย่างใด
ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรีอยุธยา วิเคราะห์เกี่ยวกับการควบรวมกิจการ ระหว่างATC กับ RRC ว่า วิธีการรวมบริษัท(Amalgamation)น่าจะมีความเหมาะสมเนื่องจากไม่ต้องใช้เม็ดเงิน และคาดว่าจะสูญเสียประโยชน์จำกัดเฉพาะสิทธิประโยชน์ทางภาษี เฉพาะส่วนของ RRC ที่จะสิทธิประโยชน์จากภาระภาษีที่ประหยัดได้ 5% ช่วงปี 2550-2554 หรือคิดเป็นจำนวนรวม 1,592 ล้านบาท
ขณะที่ยอดขาดทุนสะสมยกมา(Loss carry Forward)ของATC ที่เหลืออยู่ 8,000ล้านบาทต้นปี 2550 คาดว่าจะใช้ได้เกือบเต็มจำนวนในปี 2550 หรือเหลือผลบวกน้อยมากในปี 2551 คิดเป็นภาษีที่จะประหยัดได้ประมาณ 1,200 ล้านบาท
โดยเบื้องต้นคาดว่าสัดส่วนการแลกหุ้นระหว่าง ATC:RRC เท่ากับ 2.93 เท่า โดยเปรียบเทียบจากมูลค่าหุ้น ATC ที่ 46 บาท และ RRC ที่ 16 บาท ไม่รวมมูลค่าเพิ่ม จากโครงการอะโรเมติกส์ 2 ซึ่งไม่แตกต่างจากอัตราส่วน Swap Ratio ที่ 2.96 เท่า
จากการเปรียบเทียบจากมูลค่าหุ้นที่รวมโครงการอะโรเมติกส์ 2 ของ ATC ที่ 59บาท เทียบกับ RRC ที่ 20 บาทและใกล้เคียงกับราคาฐานของราคาตลาดที่ซื้อขายต่างกันที่ซื้อขายต่างกัน 2.5 เท่า และสัดส่วนอยู่ที่ 1 หุ้น ATC ต่อ 1.97 หุ้นบริษัทใหม่ หรือ 1หุ้น RRC ต่อ 0.67 หุ้นบริษัทใหม่
ดังนั้นเชื่อว่าการเคลื่อนไหวหุ้นทั้ง 2 ตัวจะวิ่งเข้าหาจุดสมดุลของสัดส่วนการแลกหุ้นในที่สุด โดยหากพิจารณาราคาตลาด และสัดส่วนการแลกหุ้นของ ATC ยังต่ำกว่า RRC ทั้งนี้ ประเมินว่าการควบรวมกิจการทั้ง 2 บริษัท หุ้น ATC จะมีความโดดเด่น มากกว่า RRCจึงแนะนำซื้อ ATC