แบงก์กรุงเทพแบไต๋ยกมือโหวตรับแผนฟื้นฟูฯทีพีไอฉบับ 5 อรหันต์ อ้างทุกอย่างเป็นธรรมกับเจ้าหนี้ ลั่นไม่กลัวประชัยยื่นคำค้านกลางที่ประชุมเจ้าหนี้ 27 ก.ย.นี้ เชื่อส่วนต่างกำไร หลังขายหุ้นเพิ่มทุนเพียงพอแล้วที่จะปล่อยให้พันธมิตรรายใหม่ วงในเชื่อน่าจะส่งผลดีต่อทีพีไอโพลีนไปด้วย ทั้งการรีไฟแนนซ์หนี้และหลุดพ้นห่วงบริษัทแม่แต่ยังต้องลุ้นผลไกล่เกลี่ย20 ก.ย.นี้

-BBLรับแผนแล้ว

     แหล่งข่าวจากธนาคารกรุงเทพจำกัด(มหาชน)หรือ BBL ในฐานะคณะกรรมการเจ้าหนี้บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด(มหาชน) หรือ TPI เปิดเผยกับข่าวหุ้นธุรกิจถึงกรณีการประชุมคณะกรรมการเจ้าหนี้ทีพีไอวันที่ 27 ก.ย.นี้ว่า เบื้องต้นธนาคารกรุงเทพ ในฐานะเจ้าหนี้รายใหญ่ที่มีมูลหนี้กว่า 36000 ล้านบาทได้เห็นชอบกับแผนฟื้นฟูกิจการทีพีไอฉบับแก้ไขแล้ว และเชื่อว่าเจ้าหนี้สถาบันการเงินอีก 2 ราย คือ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา(BAY)มูลหนี้กว่า 6000 ล้านบาทและธนาคารไทยพาณิชย์ มูลหนี้กว่า 6000 ล้านบาทจะเห็นชอบกับแผนฟื้นฟูกิจการดังกล่าวด้วย

     ประเด็นที่เจ้าหนี้ส่วนใหญ่เห็นชอบกับแผนฟื้นฟูกิจการฉบับนี้ ถือว่าเป็นธรรมกับเจ้าหนี้เพราะเมื่อเทียบกับราคาเพิ่มทุนหุ้นละ 2.28 บาทประกอบกับมูลค่าการตลาดอยู่ที่ 51400ล้านบาท และเทียบกับประมาณการกำไรก่อนหักภาษีและค่าเสื่อม(EBITDA)ที่ประมาณ 250ล้านดอลล่าสหรัฐ เมื่อขายต่อให้กับนักลงทุนรายอื่นธนาคารเองก็ไม่ขาดทุน

     แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า กรณีที่ลูกหนี้อาจมีการยื่นคำคัดค้านต่อที่ประชุมเจ้าหนี้ ในวันดังกล่าวไม่น่าจะมีผลมากนัก เพราะเชื่อว่าเจ้าหนี้ส่วนใหญ่จะไม่นำขึ้นมาพิจารณาหรือนำเสนอให้เจ้าหนี้ลงมติรับเรื่องดังกล่าวอย่างแน่นอน ด้วยเหตุว่ามาถึงตอนนี้เจ้าหนี้ต่างประเทศได้เห็นชอบเบื้องต้นกับแผนมาแล้ว

     ขณะเดียวกันกรณีพันธมิตรที่เข้ามาใหม่ ไม่ว่าจะเป็นบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน)หรือPTT และบริษัทที่แสดงความสนใจปรากฎตามสื่อต่างๆนั้น ธนาคารเองไม่ติดใจอะไรเพราะทุกบริษัทล้วนมีพื้นฐานของธุรกิจปิโตรเคมีดีอยู่แล้ว ประกอบกับธนาคารก็ไม่มีนโยบายที่จะถือหุ้นทีพีไอไว้อยู่แล้ว-ศาลนัดไกล่เกลี่ย1พ.ย.นี้

     อย่างไรก็ตามนางไตรทิพย์ ศิวะกฤษณ์กุล คณะทำงานผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด(มหาชน) TPI ระบุว่าวันที่ 27 ก.ย.นี้ เจ้าหนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศจะลงมติเห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการ และเชื่อว่าจะได้รับคะแนนเสียง75 เปอร์เซ็นต์ หลังจากนั้นวันที่ 12 ต.ค.47 เจ้าหน้าที่พิทักษ์ทรัพย์(จพท.)จะนัดพิจารณาแผนฟื้นฟูกิจการอีกครั้ง จากนั้นศาลล้มละลายจะนัดไกล่เกลี่ยวันที่ 1 พ.ย.47

     เชื่อว่าเจ้าหนี้จะเห็นชอบกับแผนฟื้นฟูฉบับดังกล่าว เนื่องจากก่อนหน้านี้ ได้มีโอกาสพูดคุยกับเจ้าหนี้ในประเทศและส่วนใหญ่ก็เห็นชอบ และพร้อมลงคะแนนเสียง เพราะเห็นว่าแผนฟื้นฟูที่จัดทำขึ้นมาใหม่ให้ความเป็นธรรมกับเจ้าหนี้และลูกหนี้นางไตรทิพย์กล่าว

     อย่างไรก็ดีนักวิเคราะห์ประเมินว่า ผลประกอบการปี47 เชื่อว่า TPI จะมียอดขายประมาณ 10450 ล้านบาทและมีกำไรสุทธิ 2700 ล้านบาทเนื่องจากขณะนี้ธุรกิจปิโตรเคมีอยู่ช่วงขาขึ้นและคาดว่าช่วงไตรมาส 3 ปี 47 บริษัทจะมีอัตราเติบโตสูงกว่าในช่วงเดียวกันของปีก่อนอันเป็นผลมาจากธุรกิจปิโตรเคมีเช่นกัน

     ขณะเดียวกันราคาหุ้น TPI ขณะนี้ถือว่ายังต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานที่คาดว่าราคาที่เหมาะสมปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 11 บาทแต่ปัจจัยสำคัญต้องติดตามข่าว TPI อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับดูภาวะตลาดหุ้นก่อนตัดสินใจลงทุนด้วย-TPIPL รับผลดีตาม

     จากประเด็นคณะกรรมการเจ้าหนี้ ลงมติเห็นชอบกับแผนฟื้นฟูกิจการทีพีไอ ถือว่ามีผลต่อเนื่องถึงบริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด(มหาชน)หรือ TPIPL เพราะจะทำให้แผนฟื้นฟูกิจการทีพีไอโพลีนมีความชัดเจนมากขึ้น นั่นหมายถึงการส่งผลโยตรงต่อแผนการรีไฟแนนซ์หนี้ กรณีทีพีไอโพลีนยื่นข้อกู้เงินจากธนาคารกรุงไทยกว่า 750 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ

     ที่ผ่านมาการปรับโครงสร้างหนี้ TPIPL ได้นําเงินจํานวน 5600 ล้านบาทไปวางที่ศาลล้มละลายกลาง เพื่อชําระหนี้แบบมีส่วนลด ปรากฏว่า มีเจ้าหนี้ 2680 ล้านบาทมารับชำระหนี้แบบมีส่วนลด ขณะที่อีกจํานวน 2700 ล้านบาทได้ขอยกเลิกแผนการดังกล่าว โดยศาลจะมีการชี้ขาดอีกครั้งช่วงปลายเดือนนี้

     อย่างไรก็ตามภาระหนี้ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง หลัง TPIPL ได้ประสบความสําเร็จในการเสนอขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไปจํานวน 300 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 37 บาท เป็นเงินทุนที่ระดมได้ หลังหักค่าใช้จ่ายเหลือ 10652 ล้านบาท และรวมกับเงินสดจากการดําเนินงานจํานวน 1761 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 12413 ล้านบาท โดย ณ วันที่ 30 ก.ค.47TPIPL ได้แจ้งไปยังตลาด ระบุว่าได้นําเงินจํานวนนี้ไปซื้อหนี้คืนแบบมีส่วนลด และชำระหนี้คืนหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้

     โดยข้อมูลการชําระหนี้ของ TPIPL มาจากเงินที่ระดมได้ 10652 ล้านบาทเงินสดจากการดําเนินงาน 1761 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 12413 ล้านบาท เพื่อชําระหนี้ตามกระบวนการซื้อหนี้คืนแบบมีส่วนลด 5600 ล้านบาท ชําระดอกเบี้ยค้างจ่าย และค่าธรรมเนียมค้างจ่าย 5151 ล้านบาท ชำระหนี้ส่วนเกินตามกระบวนการซื้อหนี้คืน 1662 ล้านบาท

ที่มา www.kaohoon.com