ขณะที่ปี 2549 ผลการดำเนินงานก็โดดเด่นขึ้นอย่างพอใจ ด้วยกำไรสุทธิจำนวน 461ล้านบาท หรือ 1.09 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับปี 2548 อยู่ที่ 417 ล้านบาทหรือ 1.06 บาทต่อหุ้น
โดยปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อกำไรสุทธิมาจากรายได้ค่าบริการ 1,421 ล้านบาท เพิ่มขึ้น25% เมื่อเทียบกับปี 2548 อยู่ที่ 1,139 ล้านบาท เป็นผลมาจากปริมาณน้ำมันที่ให้บริการเพิ่มขึ้นจาก 4,070.40 ล้านลิตรในปี 2548 เป็น 4,270.62 ล้านลิตรในปี 2549 ซึ่งเป็นไปตามอัตราการเติบโตตามภาวะธุรกิจการบินโดยทั่วไป
อีกทั้งการปรับขึ้นอัตราค่าบริการเติมน้ำมันอากาศยานที่สนามบินดอนเมืองจาก 2.58เซนต์ต่อแกลลอน เป็น 2.74 เซนต์ต่อแกลลอนในวันที่ 1 กรกฎาคม 2549 และปรับขึ้นเป็น6 เซนต์ต่อแกลลอนในวันที่ 1 ธันวาคม 2549 ตามลำดับส่งผลให้อัตราค่าบริการเติมน้ำมันโดยเฉลี่ยของบริษัทฯ ที่สนามบินดอนเมืองสูงกว่าปี 2548 ที่ผ่านมาประมาณร้อยละ 132.6
ประกอบกับการเปิดใช้อย่างเป็นทางการของสนามบินสุวรรณภูมิตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน2549 ซึ่งบริษัทฯ มีส่วนแบ่งการตลาดสำหรับการให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานสูงถึง ร้อยละ90 โดยในช่วงไตรมาส 4 ที่ผ่านมาจำนวนเที่ยวบิน ผู้โดยสารและการขนส่งสินค้าปรับตัวเพิ่มขึ้น จึงส่งทางบวกต่อการปรับตัวขึ้นของรายได้ค่าบริการของบริษัทฯ
ด้านสภาพคล่องของบริษัท ถือว่าคล่องตัวดีมาก จากที่พบว่ามีสินทรัพย์หมุนเวียน 962ล้านบาท เป็นส่วนของเงินสดสูงถึง 604 ล้านบาท ขณะที่หนี้สินรวม 387 ล้านบาท ได้ค่าCurrent Ratio เท่ากับ 2.49 เท่า ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการบริหารงานมีความคล่องตัวเพียงพอต่อการชำระหนี้สินที่มีอยู่ได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร
ส่วนโครงสร้างทางการเงิน หรือ D/E Ratio เท่ากับ 1.82 เท่า ซึ่งอัตราส่วนตัวเลขที่ได้อาจจะดูไม่ดีนัก จากที่บริษัทมีหนี้สินรวม 4,842 ล้านบาท เมื่อเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้น 2,666 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าบริษัทอาจจะมีความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจอยู่บ้าง จากที่ต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยที่สูงขึ้น แต่เมื่อมองดูที่ตัวธุรกิจแล้วจะเห็นว่าเป็นเรื่องปกติของบริษัทที่มีการขยายงานเพิ่มขึ้น
ดังนั้น BAFS ถือว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ด้วยประสิทธิภาพและศักยภาพที่มั่นคงในการในการสร้างรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วเหตุนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริง