April 30, 2024   12:53:54 PM ICT
มองโอกาสลงทุนทั่วมุมโลก ผ่านสายตากูรู มาร์ค ฟาเบอร์

กาญจนา หงษ์ทอง

หากคุณคือ คนหนึ่ง ที่ทำท่าว่ากำลังคิดจะกระจายพอร์ตการลงทุนไปอยู่ในกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ(FIF)สัก 10-15%

จะด้วยเหตุผลที่ว่า รอให้สถานการณ์บ้านเมืองของเราเข้าที่เข้าทางเสียก่อน หรืออยากกระจายความเสี่ยงก็ตามที

แต่ถ้าคุณจะลงทุนในกองทุนประเภทนี้ ลองมาฟังมุมมองการลงทุนในต่างประเทศผ่านสายตาของกูรูการลงทุนที่ชื่อ "มาร์ค ฟาเบอร์"

อย่างน้อยจะได้รู้ว่า โลกแห่งการลงทุนมีโอกาสให้กับคุณเสมอ ไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของโลก ถ้าอยากรู้ว่าตลาดหุ้นที่ไหนน่าลงทุน มุมไหนหมดเสน่ห์ หรือการลงทุนประเภทไหนที่ควรเข้าหา

Fundamentals ฉบับนี้ หยิบแค่บางส่วนจากมุมมองของเขามาเรียกน้ำย่อย ถ้าอยากฟังตัวจริงเสียงจริง และข้อมูลการวิเคราะห์ที่แน่นปึ้กกว่านี้ ไปเจอเขาได้ที่

***************

หลายคนพูดคล้ายๆ กันว่า ระหว่างที่ทุกคนรอให้เรื่องสำคัญๆ ในบ้านเราเข้าที่เข้าทางเสียก่อน ทำให้ปีนี้กลายเป็นปีที่การเบนเข็มไปลงทุนในต่างประเทศน่าสนใจอย่างยิ่ง

ส่วนโอกาสการลงทุนในต่างประเทศ อยู่ที่ไหนบ้างนั้น เดี๋ยวนี้เราสามารถรับรู้ข่าวสารได้อย่างท่วมท้นจากต่างประเทศ

เวลาลงทุนในเมืองไทย เชื่อว่าผู้ลงทุนบางกลุ่มจะมีท่าน "ผู้รู้" หรือ "กูรู" ที่เป็น "คนโปรด" ของแต่ละคน ซึ่งเมื่อชื่นชอบ และเชื่อมั่นในตัวใคร คุณก็มักจะสนใจติดตามความเห็นด้านการลงทุนจากบุคคลเหล่านี้เป็นพิเศษ โดยเฉพาะเวลาตลาดเกิดเหตุการณ์ผิดปกติ

นักลงทุนในต่างประเทศก็เช่นเดียวกัน มีผู้รู้หรือผู้ที่คร่ำหวอดในการลงทุนในตลาดต่างๆ ของโลกที่มีผู้สนใจคอยติดตามฟังความเห็นของเขาเหล่านี้อยู่ทั่วโลก เราจึงมีโอกาสได้เห็นบทสัมภาษณ์กันบ่อยๆ ทาง CNN CNBC หรือ Bloomberg

วันนี้ลองมาฟังกันว่าคนดังอย่าง "ดร.มาร์ค ฟาเบอร์" (Marc Faber) จะมองตลาดการลงทุนทั่วโลกอย่างไร หลังตลาดหุ้นที่กำลังเนื้อหอมของโลก ปรับตัวลดลงกันอย่างพร้อมเพรียง

ดร.มาร์ค ฟาเบอร์ เป็นนักการลงทุน และนักพูด ที่โดดเด่นด้านมุมมองการลงทุนที่แตกต่าง รวมทั้งยังเป็นผู้มีชื่อเสียงจากการแนะนำให้ผู้ลงทุนถอนการลงทุนจากตลาดหุ้นสหรัฐ เพียงหนึ่งสัปดาห์ก่อนเหตุการณ์ Black Monday ในปี 1987 รวมถึงการคาดการณ์วิกฤติเศรษฐกิจของประเทศในแถบเอเชีย-แปซิฟิก ในปี 1997-1998 ได้อย่างแม่นยำ และอีกหลายประเด็นในตลาดสำคัญ จนทำให้สื่อทั่วโลกพากันเฝ้ามอง และติดตามความเห็นของเขา ต่อเหตุการณ์สำคัญในตลาดทุนโลก

หากใครที่สนใจการลงทุนใน "ทองคำ"เขาเป็นเจ้าของหนังสือ Best Seller "Tomorrow’s Gold"

ถ้าจำกันได้ ดร.มาร์ค ฟาเบอร์ คนนี้นี่เองที่เป็นนักการลงทุน ผู้ชี้โอกาสการลงทุนในทองคำตั้งแต่ปี 2001 ซึ่งขณะนั้นน้อยคนที่จะพูดถึงเขา จนถึงปัจจุบันเป็นปีที่ 6 แล้ว ที่ราคาทองคำยังคงทะยานสูงขึ้น

นอกจากนี้ ดร.มาร์ค ฟาเบอร์ ยังเป็นผู้ออกมาเตือนตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ปีที่แล้ว และอีกครั้งในต้นเดือนมกราคม นี้ว่าตลาดการลงทุนทั่วโลก อาจถึงเวลาปรับตัวลงในไม่ช้า ก่อนที่ตลาดหุ้นสหรัฐ จีน และอีกหลายตลาดสำคัญจะพร้อมใจกันปรับตัวลดลงในปลายเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา

ล่าสุดเมื่อต้นเดือนมีนาคม นี้เองเขาได้ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อต่างประเทศเกี่ยวกับมุมมองการลงทุนของเขา และนี่คือ บางส่วนที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ใครที่กำลังคิดจะลงทุนในกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศหรือ FIF ห้ามพลาดเด็ดขาด

@สหรัฐชะลอตัวลง

ดร.มาร์ค ฟาเบอร์ มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐ น่าจะชะลอตัวลง การบริโภคในสหรัฐ อาจจะไม่เติบโต เนื่องจากการปล่อยสินเชื่อเข้มงวดขึ้น หลังจากระดับการก่อหนี้ของประชาชนเพิ่มสูงขึ้นมาก การปรับตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ลักษณะนี้ จะส่งผลกระทบต่อตลาดต่างๆ เนื่องจากที่ผ่านมานโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐ ได้สร้างปริมาณเงินลงทุนในตลาดเหล่านั้น

เขาเห็นว่าสหรัฐกำลังอยู่ในภาวะที่มีการสร้างหนี้สูงมาก อยู่ในระดับประมาณ 330% ของ GDP เขาเรียกว่า "Debt Bubble" และเริ่มมีสัญญาณเตือนว่าคนอเมริกัน อาจจะไม่สามารถสร้างหนี้เพื่อจับจ่ายใช้สอยได้มากเหมือนที่ผ่านมาแล้ว โดยสัญญาณที่เริ่มส่อเค้า คือ เริ่มมีการจ่ายชำระหนี้ช้า หรือหนี้เสียในเงินกู้บ้านแบบ Subprime Mortgage Loans ซึ่งเป็นสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้กู้ ที่มีความเสี่ยงสูงกว่าลูกค้าชั้นดีของธนาคาร โดยคิดดอกเบี้ยสูงกว่า และที่ผ่านมามีการเติบโตอย่างมาก เขายกตัวอย่างว่าสถาบันการเงินที่เป็นผู้ให้กู้รายใหญ่ที่สุดของ Subprime Mortgage Loans ในสหรัฐเปิดเผยว่าเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมาพบว่าผู้กู้ 1 ใน 5 ของ Subprime Mortgage Loans จ่ายชำระหนี้ล่าช้า

ซึ่ง Subprime Mortgage Loans อาจจะเป็นจุดเริ่มของปัญหาสภาพคล่องในสหรัฐ เนื่องจากสถาบันการเงินอาจจะไม่ต้องการปล่อยสินเชื่อความเสี่ยงสูงกันต่อไป และหากสภาพคล่องเริ่มหดหาย เศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวหรือถดถอย ตลาดหุ้นย่อมกระเทือน

8 กุมภาพันธ์ ก่อนที่ตลาดหุ้นสหรัฐ จะตกในปลายเดือน เขาเขียนบทความหนึ่งเตือนผู้ลงทุนอีกครั้งหลังจากที่เตือนไปรอบหนึ่งแล้วในเดือนมกราคม โดยสรุปอีกครั้งว่า เขาเชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐถึงเวลาต้องปรับตัวลงแล้วอีกไม่นานนี้ ด้วยเหตุผลชัดๆ 4 ข้อ คือ ตลาดหุ้นสหรัฐอยู่ในภาวะ over-bought ผู้ลงทุนมองทุกอย่างดีเกินไป กองทุนรวมในสหรัฐลงทุนกันเต็มที่เหลือเงินสดในระดับต่ำ และมีผู้ลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาดสหรัฐสูงมาก เขายังคาดการณ์ว่าค่าเงินดอลลาร์น่าจะอ่อนตัวลงอีกด้วย

@ญี่ปุ่นยังน่าลงทุน-เวียดนามน่าสนใจ

ขณะที่ ตลาดเอเชียนั้น เขามองว่าอินเดีย และจีน น่าจะมีการปรับตัวลดลง แต่หลังจากนั้นจะเป็นโอกาสของการลงทุน

ส่วนญี่ปุ่นนั้น เขาคิดว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีโอกาสในการลงทุนที่น่าสนใจ เนื่องจากระดับราคายังคงต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดอื่น โดยปีที่แล้ว Nikkei 225 ปรับตัวขึ้นโดยเฉลี่ยเพียง 6.9% และเห็นว่าเงินเยนราคาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานเขามองว่า ในสถานการณ์ที่ตลาดอื่นๆ ไม่เฟื่องฟูเหมือนที่ผ่านมา เงินลงทุนที่เป็นเงินกู้จากญี่ปุ่นเพราะดอกเบี้ยต่ำ น่าจะไหลกลับไปญี่ปุ่น และทำให้เงินเยนแข็งขึ้น

ก่อนหน้านี้ เมื่อกลางปีที่แล้วเขาให้ความเห็นไว้ว่า หากคิดว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นถึงจุดต่ำสุดในปี 2003 ช่วงที่ผ่านมาก็เป็นช่วงแห่งการฟื้นตัวที่ยาวนานของญี่ปุ่น และเขาไม่ได้คาดหวังว่าเศรษฐกิจของญี่ปุ่นจะกลับโตในระดับ 5-7% เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในปีช่วง 1960 และ 1970

เขาคิดว่าแม้ว่าการเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย จะย้ายฐานจาก ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ไปยังจีน อินเดีย และเวียดนาม แต่บริษัทดีๆ ในญี่ปุ่นก็ยังคงมีผลประกอบการที่ดี และตลาดหุ้นญี่ปุ่นก็มีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดสหรัฐในระยะยาว

บุคลิกพิเศษอย่างหนึ่งของเขา ที่ทำให้ผู้ลงทุนจำได้แม่น เพราะเป็นผู้รู้ที่มักจะมีความเห็นเรื่องภาวะตลาดหรือโอกาสการลงทุนไม่ค่อยเหมือนใคร เขามักจะพูดถึงโอกาสการลงทุนในบางตลาดก่อนคนอื่น หรือก่อนที่คนส่วนใหญ่จะสนใจ อย่างเช่นเมื่อต้นเดือนมกราคม ที่ผ่านมา เขาให้สัมภาษณ์ทาง Bloomberg ถึงความน่าสนใจของตลาดเวียดนาม และสิงคโปร์

ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพราะเขาเห็นศักยภาพของตลาดหุ้นเวียดนาม โดยเมื่อปีที่แล้ว Vietnams Ho Chi Minh Stock Index ปรับตัวสูงขึ้นกว่าเท่าตัว และถือว่าสูงสุดในตลาดเอเชีย ในขณะที่ Singapores Straits Times Index ปรับตัวสูงขึ้น 27% ชนะ Morgan Stanley Capital International Asia-Pacific Index (MSCI- Asia-Pacific) ที่ปรับขึ้น 15%

ดร.มาร์ค ฟาเบอร์ สนใจตลาดเวียดนามมานานพอสมควรแล้ว โดยใน www. GloomBoomDoom.com ของเขา (บางสื่อเรียกเขาว่า Dr. Doom) ซึ่งเป็นเวบไซต์ด้านการลงทุนที่เด่นในเนื้อหา และแนวคิดด้านการลงทุนที่มักพูดถึงโอกาสการลงทุนที่แปลกใหม่ และไม่เหมือนใคร ถ้าลองคลิกเข้าไปดู จะพบว่ามีเนื้อหาส่วนหนึ่งสำหรับเวียดนามโดยเฉพาะ เช่น "News from Vietnam - one of the worlds most promising economies"

@แนะลงทุนทองและสินค้าโภคภัณฑ์

ดร.มาร์ค ฟาเบอร์ ยังคงแนะนำโอกาสการลงทุนในทองคำ หากมีการปรับตัวลง 5-10% และคิดว่ายังควรจะผสมทองเอาไว้ในพอร์ตการลงทุน ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว เขาย้ำว่าให้ความสนใจสินค้าโภคภัณฑ์ทางการเกษตรมากกว่าอุตสาหกรรม

เขายังเห็นอนาคตการลงทุนในทองคำ ซึ่งมีอยู่จำกัดในธรรมชาติและอุปทานในตลาดของโลหะมีค่าเหล่านี้มีแนวโน้มจะลดลง ทองคำยังเป็นการลงทุนที่เป็นที่ต้องการเพื่อป้องกันเงินเฟ้อ ในปีที่แล้วทองคำปรับตัวสูงขึ้น 23% และเป็นปีที่ 6 แล้วสำหรับตลาดทองขาขึ้น นั่นทำให้เขายังเชื่อว่าราคาทองคำจะยังคงอยู่ในขาขึ้นต่อไป

แนวคิดการลงทุนของ ดร.มาร์ค ฟาเบอร์ นั้น เขาเห็นว่าหากตลาดหุ้นตก ค่าเงินดอลลาร์อ่อนอย่างที่เขาคาดการณ์ไว้ การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ จะช่วยกระจายความเสี่ยงจากตลาดหุ้นได้

ซึ่งเขาเคยเขียนในบทความชื่อ "Anatomy of Bear Markets" ว่า หากวัดผลตอบแทนในรูปของเงินดอลลาร์ อาจจะสรุปว่า Dow Jones เป็นช่วงตลาดขาขึ้น มาตั้งแต่ตุลาคม 2002 แต่สำหรับเขามองว่า Dow Jones เป็นตลาดขาลง ถ้าเทียบกับทองคำ เขาเน้นให้วิเคราะห์ผลตอบแทนจากการลงทุนในมุมนี้ด้วย โดยเฉพาะในภาวะที่อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น เราจะเจอสภาพที่สินทรัพย์ประเภทต่างๆ (asset classes)ไม่ว่าจะเป็นหุ้น อสังหาริมทรัพย์ หรือสินค้าโภคภัณฑ์ อาจมีราคาสูงขึ้นมากน้อยไม่เท่ากัน นั่นหมายความว่า สินทรัพย์บางประเภทแม้จะมีราคาสูงขึ้นเมื่อวัดเป็นดอลลาร์ แต่อาจจะมีมูลค่าลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ เหมือนที่เกิดขึ้นกับ Dow Jones ตั้งแต่ปี 2002 Dow Jones ทะยานสูงขึ้นหากวัดในรูปดอลลาร์สหรัฐ แต่กลับปรับตัวลดลงหากเปรียบเทียบกับทอง

เช่นเดียวกับเหตุการณ์ในปี 2006 ที่ Dow Jones Industrial Average เพิ่มสูงขึ้นประมาณ 16% ขณะที่ S&P500 เพิ่มขึ้น 14% แต่ถ้าเปรียบเทียบในสกุลเงินยูโร S&P500 เพิ่มขึ้นไม่ถึง 5% และถ้าเปรียบเทียบกับทองคำทั้ง Dow Jones และ S&P500 กลับลดต่ำลง

ที่สำคัญคือ เขายังแนะนำต่ออีก ว่าการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทอง เป็นการป้องกันความเสี่ยงจากสงคราม ที่โลกกลัวกันอยู่ในช่วงนี้ จากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและอิหร่าน

@เน้นตลาดของประเทศพัฒนาแล้ว

ช่วงที่ให้สัมภาษณ์ประมาณ เดือนมกราคม ก่อนตลาดสำคัญของโลกจะปรับตัวลดลง เขาแนะนำว่า ให้ผู้ลงทุนให้ความสำคัญกับการลงทุนในกลุ่มเศรษฐกิจพัฒนาแล้วที่เป็นหลักของโลก (worlds biggest developing economies) เนื่องจากเขาเห็นว่าตลาดเศรษฐกิจเกิดใหม่ (emerging markets) อาจถึงเวลาต้องลงจากเวที หลังจากให้ผลตอบแทนชนะตลาดอื่นมาเป็นปีที่ 5 แล้ว

เช่น ปีที่แล้ว RTS Index ของรัสเซียปรับตัวสูงขึ้นถึง75% Hang Seng China Enterprise Index เพิ่มขึ้น 94% Sensex Index ของอินเดีย สูงขึ้น 25 เท่า เป็นต้น เขายังเตือนให้ระมัดระวังการลงทุนในจีน และอินเดีย ในช่วงนั้นด้วย

เขาเคยเตือนไว้ก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ช่วงกลางปีที่แล้ว เกี่ยวกับตลาดเศรษฐกิจเกิดใหม่หลายๆ ตลาดที่มีการปรับตัวสูงขึ้นไปอย่างมาก อย่างเช่น ตลาดในประเทศที่รวมกันเรียกว่า "BRICs" ซึ่งประกอบไปด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน

โดยให้ความเห็นในตอนนั้นไว้ว่า ถึงแม้ตลาดเหล่านี้อาจจะถึงเวลาปรับตัวลดลงหลังจากทะยานขึ้นมาหลายปี แต่ไม่ได้หมายความว่าภาวะตลาดขาขึ้นหรือ bull markets ในตลาดเหล่านี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นอีก เพียงแต่ในความเห็นของเขาต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุนในตลาดที่พูดถึงนี้ ซึ่งเขาเองก็ใช้ความระมัดระวังการลงทุนในระดับที่เท่าๆ กันกับการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ ที่เป็นหุ้นของบริษัทขนาดกลาง และขนาดเล็กด้วยเช่นกัน

@มองแนวโน้มราคาน้ำมันสูงขึ้น

ดร.มาร์ค ฟาเบอร์ ยังวิเคราะห์ถึงแนวโน้มราคาน้ำมัน ว่ามีปัจจัยที่น่าจะทำให้สูงขึ้น จากความตึงเครียดในตะวันออกกลาง และข้อจำกัดในการผลิต ในขณะที่ความต้องการน้ำมันของโลกยังเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะความต้องการจากเอเชียข้างต้นนี้ เป็นเพียงตัวอย่างมุมมองหนึ่งเท่านั้น หลายๆ คน อาจจะได้ข้อมูลจากผู้รู้ หรือสถาบันการเงินอื่นๆ ทั้งในประเทศ ต่างประเทศ เอามาประกอบกัน เพื่อประเมินความน่าสนใจของตลาดต่างๆ ทั่วโลก

@เชื่อนักลงทุนไทยกระจายลงทุน ตปท.เยอะขึ้น

หากมองการลงทุนในตลาดต่างประเทศเป็นการลงทุนระยะยาว อาจจะพบว่าการลงทุนในต่างประเทศในตลาดต่างๆ จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันโดดเด่น

แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่เสมอ ก็คือ การมองหาโอกาสการลงทุนในตลาดต่างประเทศนั้น เป็นทางหนึ่งในการกระจายการลงทุนของคุณ ไปยังตลาดเงิน ตลาดทุน ที่กว้างใหญ่ขึ้น มีโอกาสหลากหลายขึ้น เพื่อให้คุณเลือกลงทุนตามที่ท่านมั่นใจ และสบายใจที่จะลงทุนทั้งในด้านความเสี่ยง และผลตอบแทนที่หวังไว้

เชื่อว่า การลงทุนในต่างประเทศของคนไทยจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต ถ้าเราดูจากการเติบโตของการลงทุนของคนไทยในต่างประเทศ ผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ หรือ Foreign Investment Fund ที่เรียกกันว่า กองทุน FIF นั้น จะเห็นการเติบโตของกองทุนประเภทนี้อย่างรวดเร็วต่อเนื่อง

โดยเฉพาะในปีนี้เป็นปีที่น่าจับตามอง ปลายปี 2550 เราคงต้องมาดูกันอีกที ว่า กองทุน FIF จะช่วย "import" โอกาสการลงทุนทั่วภูมิภาคที่มีศักยภาพของโลก มาให้ผู้มีเงินออมชาวไทยของเราได้มากแค่ไหน

นี่เป็นเพียง "หนังตัวอย่าง" ถ้าอยากฟังแบบเต็มๆ พบกับตัวจริงเสียงจริงของ ดร.มาร์ค ฟาเบอร์ ได้วันที่ 3 เมษายน ที่จะถึงนี้

เข้าชม: 1,996

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com