May 15, 2024   10:02:10 AM ICT
ดัชนีสวิงลงรับโรดโชว์เอบีเอ็นแอมโรยาหอม800จุด

ผู้จัดการรายวัน-หุ้นสวิงลงปิดลบ 0.44 จุดรับงานไทยแลนด์โฟกัส 2004 หลังลุยซื้อดักล่วงหน้า กบข.เตือนแล้วระวังเจอขายทำกำไร เครดิตสวิสฯ ชี้ตปท.เริ่มหวนคืนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เผยแม้ตปท.ขายหุ้นไทยรอบ 12 เดือน เกือบแสนล้านบาทแต่ถ้าเงินจากกองทุนที่มางานบริหารเงินรวม 53 ล้านล้านบาทเข้ามาเพียงเล็กน้อยก็มากมายสำหรับไทยแล้ว ปฏิเสธไม่เคยลดน้ำหนักการลงทุนตลาดหุ้นไทย ประเมินดัชนีปลายปีมีอัพไซด์อีก 10-15% จากปัจจุบัน ขณะที่ค่ายเอบีเอ็นฯให้น้ำนักตลาดหุ้นไทยยสูงกว่า MSCI คาด 12 เดือนดัชนี 800 จุดที่พีอี 12 เท่าไม่สูง
       
       ภาวะตลาดหุ้นไทยวานนี้(20 ก.ย.) วันแรกของการจัดงานไทยแลนด์โฟกัส 2004 ปรากฎว่า ดัชนีแกว่งสูงสุดที่ 676.33 จุด แต่มีแรงขายทำกำไรช่วงบ่าย ทำให้ดัชนีปิดที่ 668.29 จุด ลดลง 0.44 จุด มูลค่าการซื้อขาย 29,675.81 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,838.245 ล้านบาท สถาบันขายสุทธิ 214.68 ล้านบาท รายย่อยขายสุทธิ 1,623.56 ล้านบาท
       
       นางวิริยา ลาภพรหมรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่าดัชนีหุ้นไทยเปิดตลาดแบบก้าวกระโดดจากวันศุกร์เป็นการตอบรับกับการจัดงานไทยแลนด์โฟกัส 2004 อย่างไรก็ตามในช่วงบ่าย ตลาดหุ้นไทยจึงลดความร้อนแรงอ่อนตัวเช่นกัน โดยประเด็น การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) วันที่ 21 ก.ย.นี้ ที่คาดว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25%เป็นปัจจัยลบที่ทำให้นักลงทุนขายหุ้นออกมาก่อนหลังจากมีการปรับขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
       คาดว่าดัชนีมีแนวโน้มแกว่งตัวรอรับฟังข่าวของเฟดต่อไป
       
       นายแอนดรู มอลย์ ผู้จัดการฝ่ายวิจัยสถาบันบริษัทเอบีเอ็น แอมโร(ประเทศไทย)เปิดเผยว่า คาดว่าภายใระยะเวลาอีก 12 เดือนนับตั้งแต่นี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ระดับ 800 จุด ซึ่งในระดับดังกล่าวจะมีค่าพี/อี เรโชประมาณ 12 เท่า ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนัก โดยช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้น ค่าพี/อี เรโชของตลาดหุ้นไทยจะอยู่ระดับ10-12 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำกว่าตลาดหุ้นแห่งอื่นๆ ขณะที่บริษัทจดทะเบียนของไทยมีอัตราการเติบโตประมาณ 20% ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ
       
       ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยบริษัทเอบีเอ็น แอมโรให้น้ำนักตลาดหุ้นไทยมาก โดยสูงกว่าคำแนะนำของMSCI อยู่ในระดับ 1.5 เท่า โดยกลุ่มที่น่าลงทุนได้แก่กลุ่มสถาบันการเงินได้แก่ธนาคารพาณิชย์ กลุ่มสื่อสาร ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่มีต่อตลาดหุ้นไทยนั้นได้แก่การที่เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจเอเซียชะลอตัวลง เพราะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นและอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น
       
       นายแอนดรูกล่าวต่อว่า ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาปรากฏว่ามีเงินทุนออกจากตลาดหุ้นประมาณ 9 หมื่นล้านบาท และนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 5 หมื่นล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศที่เข้ามาร่วมงานในครั้งนี้มีเงินที่บริหารทั้งหมดประมาณ 1.33 ล้านเหรียญหรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 53 ล้านล้านบาท ซึ่งถ้าเข้ามาลงทุนเพียง 0.1%ก็ถือว่าเป็นจำนวนที่มากมายแล้ว
       
       นายมาร์ค ฟุคส์ กรรมการผู้จัดการ สาขาประเทศไทย บล.เครดิต สวิส เฟิร์สท์ บอสตัน (CSFB) กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปี 2547 ตลาดหุ้นไทยถือมี Performance แย่ที่สุดหลังจากที่ดัชนีปรับตัวขึ้นแรงเมื่อปี 2546 ซึ่งเนื่องจากเหตุผลหลักคือเมื่อต้นปีที่ผ่านมามีโอกาสการลงทุนในที่อื่นที่ดีกว่า จึงเกิดการโยกย้ายเงินทุนออกจากประเทศไทย รวมทั้งปัจจัยลบต่างๆที่เกิดขึ้นกับทั่วโลก ส่งผลให้ตลาดทุนได้รับผลกระทบในทางที่ไม่ดี และมีการโยกเงิยออกจากการลงทุนในตลาดหุ้น
       
       อย่างไรก็ตามในขณะนี้ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมทั้งไทยเริ่มที่จะได้รับความสนใจมากขึ้นจากต่างชาติ โดยจะเห็นได้ว่าเมื่อ 10-15 วันที่ผ่านมามีแรงซื้อจากต่างชาติเข้ามาในตลาดหุ้นไทยจำนวนมาก เพราะเห็นว่าเศรษฐกิจประเทศในอเมริกาและยุโรปเริ่มที่จะชะลอตัวลง ดังนั้นจึงเกิดการโยกเม็ดเงินที่ลงทุนในประเทศแถบเอเชียเหนือ อย่างเช่นเกาหลี ที่มีรายได้ส่วนใหญ่จากการส่งออกไปอเมริกาและยุโรป มายังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างไทยและมาเลเซีย มากขึ้น
       
       เชื่อว่าต่างชาติที่เข้ามาส่วนใหญ่จะมีนโยบายลงทุนในระยะกลางถึงยาว และประเมินว่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้าอย่างต่อเนื่องถึงสิ้นปี โดยมองกลุ่มที่น่าสนใจลงทุนคือกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนของภาครัฐและเอกชน ได้แก่ กลุ่มธนาคาร กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน และกลุ่มสื่อสารช่วงเศรษฐกิจเพิ่งฟื้นเรามองกลุ่มส่งออก และอสังหาริมทรัพย์ แต่ตอนนี้เป็นเรื่องของการทำให้ประเทศมีอัตราการเติบโต ซึ่งต้องเกี่ยวข้องกับการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน
       
       เขากล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้ที่มีข่าวการลดน้ำหนักการลงทุนในไทยของ CSFB น่าจะเป็นเพียงข่าวลือ ยืนยันว่าไม่เคยมีบทวิเคราะห์ลดน้ำหนักตลาดหุ้นไทย แต่ให้น้ำหนักการลงทุนที่ เท่ากับตลาด (Neaural) มานานแล้ว โดย CSFB ค่อนข้างที่จะมีมุมมองแบบอนุรักษ์นิยม เห็นได้จากไม่เคยประเมินว่าจีดีพีของไทยจะโตได้เกิน 7% ซึ่งขณะนี้ก็เป็นความจริง แต่ในขณะนี้มองว่าจีดีพีจะสามารถเติบโตได้ 5-6% ซึ่งประเทศใดที่ยังสามารถรักษาอัตราการเจิญเติบโตได้ที่ระดับ 6% ถือว่าเป็นตัวเลขที่ดีมาก โดยในส่วนของอเมริกาจีดีพีมีอัตราเติบโตเพียง 3-4% เท่านั้น
       
       ทั้งนี้ประเมินเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้คาดว่าจะมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีก 10-15% จากระดับปัจจุบัน อย่างไรก็ตามในการแนะนำลูกค้าของบริษัทจะเป็นคำแนะนำการลงทุนในระยะยาว ดังนั้นเป้าหมายของดัชนีสิ้นปีจึงไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่อยู่ที่จะลงทุนในบริษัทใดที่มีคุณภาพและอยู่ได้ในระยะยาวมากกว่า
       
       นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กล่าวว่า การจัดงานไทยแลนด์ โฟกัส ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นไปตลอดอาจมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดแรงขายทำกำไรออกมา อย่างไรก็ตามการจัดงานครั้งนี้จะมีประโยชน์ในการชี้แจงให้นักลงทุนต่างประเทศเข้าใจบริษัทจดทะเบียนของไทยมากยิ่งขึ้น ทั้งในเรื่องของการเงิน แนวโน้มการดำเนินงาน รวมถึงในเรื่องของธรรมาภิบาลที่ต่างชาติให้ความสำคัญ ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาตลาดหุ้นไทยต่อไปสำหรับ กบข.จะใช้โอกาสในงานนี้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องบรรษัทภิบาลกับกองทุนต่างชาติ

ที่มา www.managet.co.th

เข้าชม: 1,372

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com