May 16, 2024   5:17:23 AM ICT
ฝรั่งหอบเงินลงหุ้นดัชนีวิ่งไกล800จุด

เม็ดเงินต่างชาติทะลักเข้าตลาดหุ้นไทย หลังงานไทยแลนด์ โฟกัส มั่นใจเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง ชี้พึ่งการเติบโตภายในเป็นหลัก ให้น้ำหนักลงทุนสูงสุดในภูมิภาค เครดิต สวิส เฟิรสท์ บอสตันเผยฝรั่งเก็บหุ้นต่อเนื่องถึงสิ้นปี ขณะที่เอบีเอ็นคาดไม่เกิน 12 เดือนเห็นดัชนี 800 จุดแน่ หุ้นเนื้อหอมยกให้กลุ่มแบงก์ พลังงาน สื่อสาร และก่อสร้าง ขณะที่ตลาดหุ้นไทยปิดลบสวนกระแส ทนแรงเทขายรายย่อยไม่ไหว ต่างชาติลุยต่อ 1.9 พันล้านบาท

     เม็ดเงินต่างชาติเตรียมทยอยเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย หลังงานไทยแลนด์ โฟกัส2004ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนต่างชาติได้ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามารับฟังข้อมูลทั้งหมดจากผู้ที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และผู้ที่เกี่ยวข้องทางด้านเศรษฐกิจของไทย

     โดยกองทุนต่างชาติส่วนใหญ่จะหันมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น และให้น้ำหนักการลงทุนในระดับที่สูงกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาค ซึ่งหุ้นที่น่าสนใจลงทุนได้แก่ หุ้นกลุ่มพลังงาน ธนาคารพาณิชย์ ขนส่งทางเรือ สื่อสารและก่อสร้าง

     ทั้งนี้ยังไม่สามารถคาดการณ์เม็ดเงินลงทุนที่แท้จริงได้ ซึ่งเม็ดเงินลงทุนกองทุนขนาดใหญ่แค่ 8 แห่งรวมกันก็ตกอยู่ที่ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ จากจำนวนผู้จัดการกองทุนทั้งหมด 350 รายจากสถาบัน 150 แห่งทั่วโลก คิดเป็นเม็ดเงินทั้งสิ้นรวม 1.55 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

     อย่างไรก็ตาม กระแสความแรงของงานไทยแลนด์โฟกัสยังไม่สามารถต้านทานแรงเทขายทำกำไรระยะสั้นและความกังวลเรื่องราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ โดยตลาดหุ้นไทยวานนี้(20ก.ย.)ปรับตัวลดลงเล็กน้อย 0.44 จุด ปิดที่ 668.29 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 29,675.81 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,838.24 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 1,623.56ล้านบาทและ 214.68 ล้านบาทตามลำดับ

     ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่าจากการหารือกับผู้บริหารกองทุนขนาดใหญ่จากต่างประเทศ 8 กองทุน ซึ่งมีเม็ดเงินลงทุนรวมกันกว่า1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐนั้น ต่างแสดงความมั่นใจสูงว่าจะเข้ามาลงทุนในไทย หลังจากรับฟังข้อมูลเบื้องต้นจากท่านนายกรัฐมนตรี โดยประธานของบริษัทซัมซุงแสดงจุดยืนชัดเจนว่าจะใช้ไทยเป็นฐานการผลิตที่ใหญ่เป็น 1 ใน 6 ของโลก ขณะที่กลุ่มโตโยต้าก็มั่นใจที่จะมาลงทุนเพิ่มเช่นกัน

     นักลงทุนเขาจะมาลงทุนในไทยเขาก็มองเราในระยะยาว และมีความต่อเนื่อง ด้านนโยบายซึ่งผมก็ยืนยันกับเขาว่าพรรคไทยรักไทยจะยังคงเป็นรัฐบาลต่ออีกสมัย ซึ่งเขาก็พอใจและแสดงความมั่นใจว่าจะเพิ่มการลงทุนในไทยมากขึ้นดร.สมคิดกล่าว

     นอกจากนี้รัฐยังเร่งผลักดันให้มีการปฎิรูปตลาดเงินและตลาดทุนของไทย โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยจะมีการกำหนดแผนพัฒนาอย่างชัดเจน อาทิ ด้านธรรมาภิบาล ขณะที่ยกระดับความน่าเชื่อถือของตลาดหลักทรัพย์โดยมีการกำหนดขนาดทุนของบริษัทที่จะจดทะเบียนอย่างชัดเจน รวมทั้งตลาด MAI เพื่อให้เกิดการระดมทุนมากขึ้นในอนาคต

     Mr.Seah Kiat Seng กรรมการผู้จัดการ บริษัท MillenniaInvesment Management ประเทศสิงคโปร์ กล่าวว่าขณะนี้บริษัทยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะทำการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยหรือไม่ เนื่องจากได้รับฟังข้อมูลต่างๆเพียงวันเดียวเท่านั้นแต่เห็นว่าการลงทุนในหุ้นหลายกลุ่มนั้นยังมีแนวโน้มที่ดีอาทิ กลุ่มสถาบันการเงิน พลังงาน และขนส่ง โดยการรับฟังข้อมูลจากกลุ่มสถาบันการเงินในวันนี้ ถือว่ามีความน่าสนใจเป็นอย่างมากปัจจุบันบริษัทให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากกว่าตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาคโดยมีสัดส่วนการลงทุนอยู่ที่ประมาณ 16-17% ของมูลค่าเงินลงทุนทั้งหมด

     มร.มาร์ค ฟุคส์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เครดิต สวิส เฟริส์ท บอสตัน(ประเทศไทย) กล่าวว่า เม็ดเงินลงทุนต่างชาติจะยังคงไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องถึงสิ้นปีนี้ เนื่องจากที่ผ่านมาราคาหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาก ซึ่งหลังจากนี้มุมมองต่อหุ้นไทยค่อนข้างเป็นบวก หลังสัญญาณเงินทุนไหลกลับเข้ามาอีกครั้ง โดยนับตั้งแต่ต้นปีตลาดหุ้นปรับตัวลดลง 13.45% ต่างชาติขายสุทธิ 4.28 หมื่นล้านบาท แต่ 18 วันที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติได้ซื้อสุทธิรวม 1.89 หมื่นล้านบาท

     ทั้งนี้ สาเหตุที่นักลงทุนต่างชาติกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการปรับแผนการลงทุนโดยหันมาเน้นประเทศที่มีการขยายตัวจากภายในประเทศอย่างประเทศไทยและมาเลเซีย ซึ่งคาดว่าภายใน 6-12 เดือนตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 10-15%

     นายกฤษดา สวามิภักดิ์ ผู้จัดการฝ่ายสถาบันการตลาดต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์ เอบีเอ็น แอมโร กล่าวว่า หากเปรียบเทียบการลงทุนในตลาดหุ้นไทย กับตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาคพบว่าตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ทั้งในส่วนของการเติบโตทางเศรษฐกิจการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน และค่าพี/อีอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งบริษัทเชื่อว่าในอีก 12 เดือนข้างหน้า ดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 800 จุด และหุ้นกลุ่มที่นักลงทุนต่างประเทศให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ ประกอบด้วย กลุ่มพลังงาน สถาบันการเงิน สื่อสาร และก่อสร้าง

     เราชอบการลงทุนในตลาดหุ้นภูมิภาคอาเซียน มากกว่าตลาดใหญ่ๆในเอเชีย เช่น เกาหลี ไต้หวัน เพราะประเทศเหล่านี้เศรษฐกิจมีการพึ่งพา กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่อยู่ในองค์กรความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ(OECD)มาก ขณะที่อัตราการว่างงานในประเทศอยู่ในระดับสูง ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นจีนนั้น เรามีความเป็นห่วงว่า เศรษฐกิจอาจเกิดฟองสบู่ เพราะภาคธุรกิจต่างๆนั้น มีการเติบโตในระดับที่รวดเร็วเกินไป ซึ่งโดยปกติเราจะให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากกว่า MSCI 1.5 เท่านายกฤษดา กล่าว

     ทั้งนี้ หวังว่าการจัดงานไทยแลนด์ 2004 ที่มีขึ้นในระหว่างวันที่ 20-23 ก.ย.นี้ จะส่งผลให้นักลงทุนต่างประเทศนำเม็ดเงินส่วนที่มีการขายสุทธิออกไปอย่างต่อเนื่องกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยหากนับตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา นักลงทุนต่างประเทศมียอดขายสุทธิรวมทั้งสิ้นประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งหากเม็ดเงินในส่วนนี้ไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ก็ถือว่าการจัดงานครั้งนี้ประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจ

     นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กล่าวว่าขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณกองทุนต่างประเทศให้น้ำหนักเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นในแถบเอเชียมากขึ้นโดยเฉพาะไทย เนื่องจากมีแรงซื้อกลับเข้ามามาก โดยมีเศรษฐกิจของจีนและอินเดียเป็นปัจจัยหลักในการดึงความสนใจของนักลงทุน

     ทั้งนี้ การประชุมไทยแลนด์ โฟกัส ในครั้งนี้จะทำให้นักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทยแล้ว มีความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นไทยมากขึ้น หลังจากได้หารือกับผู้บริหารระดับสูงจะทำให้มีความเข้าใจในบริษัทมากขึ้น ซึ่งความเชื่อมั่นถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดส่งผลไปถึงการตัดสินใจไม่เปลี่ยนพอร์ตลงทุนในไทย

     นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ไซรัส จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงเล็กน้อย เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เกิดการเก็งกำไรในตลาดน้ำมัน ส่งผลให้ตลาดเอเซียค่อนข้างผันผวน ขณะที่ตลาดยุโรปเปิดลบ ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีแรงเทขายทำกำไรในตลาดหุ้นช่วงเย็น ประกอบกับที่ผ่านมาดัชนีได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันหลายวัน การเทขายทำกำไรในระยะสั้นจึงเกิดขึ้นบ้าง

     อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มเป็นบวก เนื่องจากปัจจัยเรื่องงานไทยแลนด์ไฟกัส ยังคงมีผลต่อการตัดสินใจลงทุน กองทุนหุ้นระยะยาวและนักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น

     นางสาวชุติมา หนูพันธ์ นักค้าเงินธนาคารทหารไทย จำกัด(มหาชน)หรือ TMB เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาค่าบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น และการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์สิงคโปร์ ซึ่งแนวโน้มค่าเงินบาทระยะสั้นปรับตัวอยู่ในช่วงแคบๆเพื่อรอผลการแถลงนโยบายการเงินของสหรัฐอเมริกาหลังประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ว่าจะดำเนินต่อไปอย่างไร

     ส่วนการขึ้นดอกเบี้ยเฟดอีก 0.25% นั้นคงไม่กระทบต่อค่าเงินบาทมากนัก โดยทางเทคนิคแล้วแนวรับค่าบาทจะอยู่ที่ 41.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และหากสามารถทะลุ 41บาทไปได้แนวรับใหม่จะอยู่ที่ 40.85 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

ที่มา www.kaohoon.com

เข้าชม: 1,251

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com