April 30, 2024   12:19:42 PM ICT
สูตรลงทุนสำเร็จ...หาสไตล์ตัวเองให้เจอ

โดยสรวิศ อิ่มบำรุง

ที่สำคัญ คุณต้องรู้จักหุ้นพอสมควร ไม่ใช่ไปซื้อตัวที่เขาปั่นราคาขึ้นไปแล้วกำลังฟุบลงมาแล้วคุณบอกว่ามันใช่ มันต้องเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี

****

หากจะมีการจัดทำเนียบของผู้จัดการกองทุนหุ้นมือทองของอุตสาหกรรมกองทุนรวมในยุคนี้ เชื่อว่าชื่อของ "ณสุ จันทร์สม" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บลจ.อยุธยา จะต้องเป็นหนึ่งในตัวเต็งที่จะขึ้นแท่นอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย จากผลงานที่ปรากฏผ่านกองทุนหุ้นที่เขาบริหาร ซึ่งวันนี้ ณสุจะมาถ่ายทอดมุมมองในเรื่องของการออม และการลงทุนส่วนตัวของเขาให้ได้ฟังกัน

ณสุ บอกว่า ตัวเองเป็นคนที่ชอบการลงทุนในหุ้น และมีความเข้าใจในหุ้น พอร์ตการลงทุนส่วนใหญ่ 80-90% จึงอยู่ในหุ้น ที่เหลืออีก 10-20% เป็นเงินสดที่ฝากแบงก์ ฉะนั้นส่วนตัวก็ลงทุนในหุ้นมาตลอด เพราะเป็นวิธีการลงทุนที่เราชอบ แล้วก็เคยเห็นผู้ประสบความสำเร็จในหุ้นเยอะ

ตอนที่จบมาใหม่ๆ เข้าทำงานในบริษัทไฟแนนซ์ก็ลงทุนในหุ้นพื้นฐาน ใช้ปัจจัยพื้นฐานตามที่เรียนมา แต่พอผ่านมาประมาณ 2-3 เดือน ก็หันมาลงทุนในหุ้นเก็งกำไร ช่วงแรกๆ ก็สามารถทำเงินจากการลงทุนในหุ้นมาได้เรื่อยๆ จนมาช่วงหลังก็เริ่มเจ๊งบ้างในช่วงที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยเป็นขาลงร่วงจากระดับ 1,700 จุด ลงมาเหลือ 1,200 จุด ตอนนั้นไม่ได้สนใจเรื่องปัจจัยพื้นฐานแล้วก็เจ๊งไปเยอะ เพราะซื้อหุ้นเก็งกำไรทั้งนั้น ก็เริ่มขาดทุน

"เริ่มลงทุนในหุ้นครั้งแรกใช้เงินประมาณ 5 แสนบาท เล่นหุ้นประมาณ 3-4 ตัว เล่นตามข่าว ตามความรู้สึก ก็เล่นเก็งกำไรเยอะ เราก็เริ่มดูกราฟ ดูปัจจัยพื้นฐานสัก 2 นาทีเสร็จ เราก็ซื้อ ถ้าหุ้นลงมาเราก็ซื้อเพิ่ม เคยขายวันหนึ่งหนักสุด 6 หมื่นบาท ก็เจอไปหลายฟลอร์เลย แต่ก่อนเป็นหุ้นปั่นเยอะ เงินหายไปประมาณ 50% ของเงินลงทุนทั้งหมด โบนัสหายไปได้ในวันเดียว มันเป็นช่วงไฮแล้วเงินมันหาง่ายมาก ตอนหลังก็เลยเลิกออกจากตลาดหุ้นไป ถือว่าไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุนหุ้นเท่าไรนัก"

ณสุ เล่าต่อไปว่า หลังจากที่ออกจากตลาดหุ้นไปแล้ว ก็เริ่มระมัดระวังตัวไม่ได้ทำอะไร จนได้มาร่วมงานกับ บลจ.วรรณดูฝ่ายกองทุนหุ้น จึงเริ่มที่จะเข้าใจปัจจัยพื้นฐานบ้างแล้ว แต่ก่อนเข้าใจว่าไฟแนนซ์มันมีแต่การเก็งกำไร ทุกอย่างมันเร็วมาก ผมอายุ 20 กว่าๆ อายุเท่านี้ ต้องมีคอนโดเท่านี้ มันเป็นความฝันเยอะมาก เรียกว่าความโลภเยอะ ตอนนั้นก็เลยพังทลายไป

แต่ช่วงที่มาทำงานในธุรกิจกองทุนรวมจะไม่ได้ลงทุนในหุ้นด้วยตัวเองแล้ว แต่จะลงทุนผ่านกองทุนรวมแทน ซึ่งหลักๆ ก็จะอยู่ในกองทุนหุ้น ใช้เงินลงทุนไม่มากประมาณ 5 แสนบาท ตอนนั้นซื้อช่วงดัชนีตลาดหุ้นไทยตกลงมาต่ำสุดประมาณ 200 กว่าจุด คือซื้อแล้วก็เล่นระยะสั้น แต่จะเล่นผ่านกองทุนรวม ก็มีซื้อๆ ขายๆ ขออนุญาตเป็นหลักเป็นการไปตามขั้นตอน พอมาทำงานกับบลจ.อเบอร์ดีน จึงรู้ว่ารูปแบบการลงทุนของอเบอร์ดีนไม่ค่อยหวือหวา ลงมันลงน้อยกว่า ขึ้นมันอาจจะขึ้นไม่เยอะ แต่มันเป็นการลงทุนจริงๆ ลงทุนในบริษัทจริงๆ จึงเริ่มรู้ว่ามีวิธีการลงทุนของพวกปีเตอร์ ลินช์ หรือวอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นการลงทุนจริงๆ จึงเริ่มสบายใจขึ้น

"ผมเจ็บจากการลงทุนในหุ้น จึงเปลี่ยนสไตล์จากเก็งกำไรมาเน้นลงทุนหุ้นพื้นฐาน ก็ได้เรียนรู้มาเยอะทั้งการวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งตัดสินใจจากกราฟเพียงอย่างเดียว เรียนทั้งการวิเคราะห์เชิงปริมาณด้วยปัจจัยพื้นฐาน ส่วนตัวเอียงมาทางปัจจัยพื้นฐาน เพราะมันมีแนวคิดอันหนึ่งเรียกว่าโมเสกซีรีส์ คือถ้าคุณใกล้ชิดกับหุ้นแล้ว คุณกลั่นกรองดีจริงๆ คุณสามารถที่จะประมวลผลได้ดีกว่าการอ่านบทวิจัยหุ้นของโบรกเกอร์ ไม่ใช่อินไซด์อินฟอร์เมชั่นในการที่คุณจะประติดประต่อภาพได้ชัดเจนกว่า แล้วคุณจะเข้าใจมูฟเมนท์ของราคาหุ้นได้ดีกว่า นั่นคือความเชื่อ และคาดว่าน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดของการลงทุนในหุ้น"

ณสุ บอกว่า ตัวเองทำงานหุ้นแล้วก็เชื่อในหุ้น เพราะฉะนั้น เงินลงทุนเกิน 50% ต้องอยู่ในหุ้นแน่ๆ เพราะตัวเองมีความเข้าใจ แม้จะลงทุนในหุ้นเยอะก็ไม่เสี่ยง เพราะว่าความเสี่ยงถูกบริหารจัดการโดยผู้จัดการกองทุนที่เขาทำงาน ถ้าเขาทำงานนะ เชื่อจริงๆ ว่าถ้าคุณทำการบ้าน ไปเยี่ยมชมบริษัท(Company visit) คุณไม่น่าจะออกมาบาดเจ็บ เพราะว่าถ้าคุณรู้จักผู้บริหารจริงๆ รู้ว่าบริษัทมันกำไรเพิ่มขึ้นจริงๆ เงินปันผลดีจริง ไม่ว่าตลาดหุ้นจะเป็นยังไง คุณก็น่าจะมีผลตอบแทนจากการลงทุนที่เป็นบวก

แต่ถ้าลงกองทุนดัชนี (Index Fund) ก็บอกไม่ได้ แต่ถ้าคุณทำการบ้านผมเชื่อ ในจังหวะที่ตลาดหุ้นเป็นตลาดที่ขาดเหตุผล มีการขายหุ้นออกมามากเกิน ทั้งที่ไม่ได้มีอะไรมากระทบรุนแรง ตรงนี้จะเป็นโอกาสในการลงทุนของเรา เพราะฉะนั้น ความสำเร็จของผม คือ "ต้องรอ" คุณทำการบ้าน คุณรอ มันจะมีบางวันของหุ้นบางตัวที่ถูกขายออกมาแบบมากเกินเลย แล้วคุณเข้าไปลงทุน คุณได้กำไรเป็น 100% แต่นักลงทุนไทยไม่ค่อยอดทน ทุกปีมันจะมีหุ้นตัวสองตัว

"ที่สำคัญ คุณต้องรู้จักหุ้นพอสมควร ไม่ใช่ไปซื้อตัวที่เขาปั่นราคาขึ้นไปแล้วกำลังฟุบลงมาแล้วคุณบอกว่ามันใช่ มันต้องเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เข้าใจมูลค่า แล้วมันตกลงมา อันนั้นคือโอกาสในการลงทุน เลือกหุ้นที่ดีในจังหวะแนวโน้มที่ดี (Pick good stock in the good trend) ก็จะสำเร็จมาก แล้วก็พร้อมที่จะออกจากตลาดได้ อย่าไปยึดติดกับมันมากนัก สำหรับนักลงทุนเก็งกำไร มันต้องมีบางช่วงที่มันไม่มีหุ้นบ้าง"

ณสุ ยังบอกอีกว่า ปัจจุบันตัวเองอายุ 35 ปีแล้ว ก็เริ่มลดความเสี่ยงโดยการลงทุนในตราสารหนี้เพิ่มมากขึ้น แล้วก็เริ่มมองการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์บ้าง เพราะที่ดินและบ้านมีอยู่แล้ว นี่คือสิ่งที่นั่งดูอยู่เพราะการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ค่อนข้างที่จะมีกำไรส่วนเกินจากมูลค่าเงินลงทุน (Capital Gain) ค่อนข้างเยอะ แล้วสภาพคล่องเองก็ดีกว่าการไปลงทุนผ่านกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ด้วย อาจมีนักลงทุนกลุ่มหนึ่งที่เข้าไปเก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์ที่วางเงินดาวน์ พอถึงเวลาก็ขายไป แต่ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น คือถ้าพลาดเราก็อยู่เอง แต่ผมมองว่าระยะยาวถ้าคุณเลือกดีๆ น่าจะมีกำไร ตอนนี้ก็กำลังศึกษาเรื่องอสังหาริมทรัพย์อยู่

"เป้าหมายในการลงทุนควรจะได้ผลตอบแทนเกิน 10% ต่อปีโดยเฉลี่ย เพราะการลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงสูงกับความเสี่ยงที่เรารับ เพราะฉะนั้น ปีหนึ่งนักลงทุนควรจะคาดหวังผลตอบแทนเกิน 10% หุ้นเรามองว่าน่าจะได้ 12-14% แต่ต้องหารเฉลี่ยกันบ้าง สำหรับเป้าหมายหลักๆ ถ้าอยากจะเกษียณสบาย นักลงทุนก็ต้องรู้จักลงทุนตั้งแต่ตอนนี้ ส่วนตัวผมว่าทำงานบริษัทคงจะเกษียณไม่ได้ มันต้องมีใช้ มีกิน มีลงทุนได้ แล้วก็อยากจะลงทุนด้วยตัวเองมากกว่า อยากจะทำธุรกิจส่วนตัว อีกสัก 5 ปี ก็คงพอแล้ว วางมือไปลงทุนเอง"

สุดท้าย ณสุบอกว่าคุณต้องถามตัวเอง ว่าคุณเป็นนักลงทุนสไตล์ไหน แล้วก็เลือกลงทุนไปให้เหมาะกับสไตล์ของตัวเอง จะช่วยทำให้คุณประสบความสำเร็จในการลงทุนได้

เข้าชม: 1,941

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com