April 30, 2024   12:31:42 PM ICT
หุ้นไทยไม่ได้รับคลื่นเฟื่องฟู

ทิพวัลย์ เอี่ยมโอภาส : บลจ.ธนชาต

ถ้าเรามองการลงทุนในหุ้นแบบกว้างขวางคือ มองเปรียบเทียบไปยังตลาดหุ้นหลักๆ ของโลก เราจะพบว่าดัชนีตลาดหุ้นในที่ต่างๆ ของโลก ส่วนใหญ่มีแนวโน้มคล้ายๆ กันคือ ปรับตัวสูงขึ้น จะมากบ้างน้อยบ้าง ก็แล้วแต่ตลาด

ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบดัชนีตลาดหุ้นของประเทศต่างๆ จะเห็นว่า แม้แต่ประเทศเพื่อนบ้านของไทยเรา เช่น ฟิลิปปินส์ ในช่วงเวลาประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวถึงกว่า 90% หรือดัชนีตลาดหุ้นอินโดนีเซียปรับตัวสูงกว่า 100%

แต่ก็มีบางประเทศอย่างสหรัฐ ที่ตลาดหุ้นอาจจะไม่ได้ดีเหมือนประเทศอื่น ๆ

ลองหันกลับมามองดัชนีตลาดหุ้นไทย เราจะพบว่า หากดูภาพกว้างๆ เฉพาะปลายปีแล้ว ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในช่วง 3-4 ปี ที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2546-2549 เกือบจะไม่ได้ขยับไปไหนไกลเลยคือ อยู่ที่ระดับ 772-668-714-680 จุด (ข้อมูล ณ สิ้นปี)

เหตุผลหนึ่งที่ตลาดหุ้นในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก ต่างเติบโตกันตามที่ท่านเห็นตัวเลขอยู่นี้ ก็เป็นเพราะในช่วง ตั้งแต่ประมาณปี 2002 เป็นต้นมา เศรษฐกิจโลกโดยรวมเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และบางประเทศ บางภูมิภาคเติบโตอย่างรวดเร็วกว่าที่อื่นๆ เช่น จีน อินเดีย

นอกจากนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกยังปรับตัวสูงขึ้นเพราะมีเงินจากส่วนต่างๆ ของโลกไหลเข้าไปลงทุนอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศที่รุ่งเรือง มีดุลการค้าเกินดุล มีสภาพคล่องส่วนเกิน รวมถึงสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นจากการที่ราคาทรัพย์สินต่างๆ เช่น ทองคำ น้ำมัน โลหะมีค่าต่างๆ ปรับตัวสูงขึ้น กำไรจากตลาดเหล่านี้ย่อมนำมาซึ่งสภาพคล่องส่วนเกินในโลกด้วย และปริมาณเงินส่วนเกินเหล่านี้ ก็กลับไปลงทุนในตลาดหุ้นในประเทศต่างๆ ผลักดันให้ตลาดหุ้นในประเทศต่างๆ ที่พูดถึง ปรับตัวสูงขึ้นกันถ้วนหน้า

แต่ทำไม ตลาดหุ้นไทย ไม่ได้รับคลื่นความเฟื่องฟูเหล่านั้นบ้าง ทั้งๆ ที่พื้นฐานเศรษฐกิจของไทยเรา ไม่น่าจะด้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้านที่บางประเทศตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นเป็น 100% ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

แม้ว่าจะทราบกันแล้วว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยเรา อาจจะปรับลดลงต่ำกว่า 4% แต่หากมองในอีกมุมหนึ่ง เรายังมีกำลังสำคัญที่แข็งแรงมาจากการส่งออก เช่น ไทยส่งออกไปยังเอเชียกว่าร้อยละ 50 หากเศรษฐกิจในเอเชียยังอยู่ในระดับที่ดี ก็น่าจะยังเป็นผลดีต่อการส่งออกของไทยต่อไป

หลายๆ ท่าน คงมองเหมือนกันว่า เป็นเพราะภาวะความไม่เข้าที่เข้าทาง ในปัจจุบันทำให้เกิดภาพที่เป็นความไม่แน่นอนในสายตาผู้ลงทุนเงินใหญ่ในต่างประเทศ ซึ่งเหมือนที่ทุกท่านอ่านกันทางหนังสือพิมพ์ทุกวัน พอจะสรุปได้ก็คือ ปัจจัยที่หน่วงเหนี่ยวตลาดหุ้นไทยไว้ ไม่ให้ไปไหนกับเขาเสียที ก็คงหนีไม่พ้น ปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ การรับร่างรัฐธรรมนูญ การยุบพรรคการเมือง กำหนดการเลือกตั้ง การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ (กันยายน) ปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นผลมาจากการเมือง อันได้แก่ กฎหมายประกอบธุรกิจต่างด้าว พ.ร.บ.ค้าปลีกค้าส่ง เป็นต้น

แต่หลายฝ่ายก็เชื่อกันว่า หากปัจจัยเหล่านี้คลี่คลายลง ตลาดหุ้นไทยเรายังมีโอกาส และอาจจะได้เปรียบตลาดเพื่อนบ้าน เพราะตลาดหุ้นเรายังถูกกว่าอยู่มาก

และที่สำคัญหากทุกอย่างคลี่คลายหายเครียด ก็หวังว่าการบริโภคและการลงทุนในไทยจะกลับมาช่วยกับการส่งออก เพื่อผลักดันเศรษฐกิจของประเทศเหมือนเดิม

และหากเศรษฐกิจโลกยังคงเติบโตในระดับที่คาดกันว่าจะอยู่ที่ประมาณ 4.9% และปีหน้าประมาณ 4% และปริมาณเงินส่วนเกินในระบบเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคต่างๆ ของโลก ยังคงหาที่ลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกเหมือนช่วงที่ผ่านมา หลายท่านจึงมองว่าเมื่อบรรยากาศในเมืองไทยพร้อม ปริมาณเงินหรือสภาพคล่องส่วนเกินของเศรษฐกิจโลกเหล่านั้นน่าจะหันกลับมามองตลาดหุ้นไทย

หุ้นที่ถูกกดดันจากภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และการเมืองในประเทศ ซึ่งน่าจะมีโอกาสเป็นกลุ่มแรกๆ ที่จะฟื้นตัวขึ้น เมื่อภาวะโดยรวมคลี่คลายลง

อย่างที่หลายท่านเคยให้เป็นข้อคิดว่า โอกาสในการลงทุนมีอยู่เสมอ

ลองติดตามกันดูนะคะ

/

เข้าชม: 1,545

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com