หุ้นไทยสัปดาห์ที่ผ่านมาถูกกดดันจากแรงขายทำกำไรอย่างหนัก รวมทั้งมีปัจจัยลบเข้ามากระหน่ำ ทั้งการพุ่งขึ้นของน้ำมันดิบในตลาดโลก เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ความกังวลเกี่ยวกับเอ็นพีแอลแบงก์พาณิชย์ส่วนสัปดาห์หน้าคงจะเป็นการเก็งกำไรระยะสั้นรายตัวตามข่าว
       
       บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานว่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยปรับลงร้อยละ 2.11 จาก 668.73 จุดในสัปดาห์ก่อนหน้า มาปิดที่ 654.60 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสัปดาห์ที่ลดลงร้อยละ 19.22 จากสัปดาห์ก่อนหน้ามาอยู่ที่ 116,843.92 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ลดลง จาก 28,928.61 ล้านบาทของสัปดาห์ก่อนหน้ามาอยู่ที่ 23,368.78 ล้านบาท ส่วนตลาดหลักทรัพย์ MAI ปิดที่ 213.79 จุด คิดเป็นการลดลงร้อยละ 1.66 จาก 217.39 จุด ในสัปดาห์ก่อนหน้า
       
       ตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมาร่วงลง โดยในช่วงต้นสัปดาห์ บรรยากาศการลงทุนถูกกดดันจากแรงขายทำกำไรหลังจากที่ตลาดได้พุ่งขึ้นแรงในสัปดาห์ก่อนหน้า และราคาน้ำมันดิบที่ปรับขึ้นถึงระดับ 47 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ประกอบกับการที่นักลงทุนรอดูผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันอังคาร แม้ว่าตลาดจะปรับขึ้นได้ในวันพุธ ตามแรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่และจากการที่กองทุนวายุภักษ์ระบุว่าจะเริ่มลงทุนในหุ้น SET 50 แต่ดัชนีก็กลับมาร่วงลงแรงกว่าร้อยละ 2 จนหลุดระดับ 650 จุด ตามการปรับลงของหุ้นต่างประเทศและการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ประกอบกับแรงขายหุ้นกลุ่มแบงก์ตามความกังวลเกี่ยวกับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ตลาดกลับมาปรับขึ้นได้ในวันศุกร์ ตามแรงซื้อกลับหุ้นขนาดใหญ่ในช่วงท้ายตลาด
       
       สำหรับการเข้าซื้อขายของหุ้นใหม่นั้น หุ้นบริษัทดีคอนโปรดักส์ (DCON) เข้าซื้อขายครั้งแรกในวันอังคาร และปิดวันที่ 7.85 บาท ลดลงร้อยละ 15.14 จากราคาจองซื้อที่ 9.25 บาท ส่วนหุ้นบริษัทคริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) (CNT) กลับเข้าซื้อขายวันแรกในวันพุธ และปิดวันที่ 13.50 บาท จากราคาปิดเดิมที่ 0.80 บาท
       
       สำหรับแนวโน้มในสัปดาห์หน้า (27 ก.ย. - 1 ต.ค.) ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ตลาดอาจจะแกว่งตัว โดยการซื้อขายคงจะเป็นการเก็งกำไรระยะสั้นรายตัวตามข่าว ทั้งนี้ คาดว่าดัชนีหุ้นไทยคงจะมีแนวรับที่ 645 - 650 จุด และแนวต้านที่ 660 - 665 จุด ตามลำดับ

ที่มา www.manager.co.th