April 30, 2024   7:51:42 AM ICT
ทางเลือกใหม่เพื่อเพิ่มรายได้จากการลงทุน

ดารบุษป์ ปภาพจน์ darabusp@primavest.com

ช่วงนี้อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินค่อนข้างผันผวน ในขณะที่ตลาดหุ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศต่างก็เคลื่อนไหวในลักษณะที่คาดเดาได้ยาก ทำให้ผู้อ่านท่านหนึ่งถามมาว่ามีการลงทุนใดอีกบ้างที่ช่วยให้ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับกระแสเงินสดเป็นประจำ คำถามนี้จะตอบง่ายๆ หรือจะให้ยากก็ได้ค่ะ เพราะในฐานะผู้ให้คำปรึกษาด้านการลงทุนจะต้องทราบถึงระดับความเสี่ยงที่แต่ละท่านสามารถรับได้รวมถึงระยะเวลาที่ผู้ลงทุนสามารถนำเงินไปลงทุนโดยไม่มีภาระผูกพันที่จะต้องใช้เงินก้อนดังกล่าว

ถ้าให้ตอบแบบกำปั้นทุบดินก็คือ ถ้ามีเงินเย็นและรับความเสี่ยงได้น้อย ก็ต้องเลือกลงทุนโดยตรงในเงินฝากระยะยาวหรือตราสารหนี้ระยะยาว (ประมาณ 3-5 ปี) ที่ให้ดอกเบี้ยเป็นประจำทุก 3 เดือนหรือ 6 เดือน เป็นต้น ซึ่งแน่นอนว่าอัตราดอกเบี้ยที่ผู้ลงทุนจะได้รับในขณะนี้จะอยู่ในระดับที่ต่ำมากไม่เกิน 3% ต่อปี

ผู้ที่มีเงินเย็นและรับความเสี่ยงจากการผันผวนของราคาได้ลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ ที่มีผลประกอบการดี เพื่อให้ได้เงินปันผลเป็นประจำนั้นถือเป็นทางเลือกหนึ่งเช่นกัน โดยบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งได้คาดการณ์อัตราเงินปันผลของหุ้นไทยไว้ที่ประมาณ 4% ต่อปี ซึ่งหลายคนโดยเฉพาะผู้ที่คุ้นชินกับการฝากเงินก็อาจมองว่าผลตอบแทนในระดับนี้ต่ำเกินไปเมื่อแลกกับการต้องเผชิญความผันผวนของราคาหุ้นไม่ว่าในระยะสั้นและระยะยาว

ในอดีตดูเหมือนทางเลือกของนักลงทุนที่จะได้มาซึ่งกระแสเงินสดเป็นประจำนั้น จำกัดอยู่เพียงการลงทุนใน 2 รูปแบบข้างต้น แต่ด้วยนวัตกรรมทางการเงินที่ไม่เคยหยุดนิ่งได้เข้ามามีบทบาทในการสร้างรูปแบบการลงทุนใหม่ๆเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนได้รับกระแสเงินสดในอัตราที่น่าพอใจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการลงทุนเหล่านี้อันที่จริงแล้วเป็นที่รู้จักในต่างประเทศมากว่า 30 ปี แต่จำกัดอยู่ในหมู่เฉพาะนักลงทุนสถาบันหรือบุคคลรายใหญ่เท่านั้น จนกระทั่งในช่วงทศวรรษที่ผ่านมานี้เองที่ผู้จัดการกองทุนในต่างประเทศเริ่มที่จะนำกลยุทธ์เหล่านี้มาใช้ในการจัดการกองทุนรวมเพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้กับกองทุน พร้อมทั้งเป็นกลไกรองรับความเสี่ยงด้วยในตัว

ตัวอย่างของกลยุทธ์การลงทุนหนึ่งคือ การทำธุรกรรมเพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้กับกองทุนที่ลงทุนในหุ้น โดยกองทุนจะทำการขายสิทธิที่จะซื้อหุ้น ในหุ้นที่กองทุนถือครองอยู่เพื่อให้ได้รายได้จากค่าธรรมเนียม ซึ่งในทางเทคนิคเรียกว่าการทำ Covered Call Option การทำเช่นนี้จะช่วยให้กองทุนมีรายได้หลักจาก 2 ทางด้วยกันค่ะ คือ 1) เงินปันผลจากหุ้น และ 2) รายได้จากค่าธรรมเนียมการขายสิทธิ

จากข้อมูลของ MSCI ประมาณการเงินปันผลของหุ้นชั้นดี โดยเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ในระดับประมาณ 2.5-3.0% ต่อปีในขณะที่รายได้จากค่าธรรมเนียมการขายสิทธินั้นอยู่ในระดับประมาณ 5-9% ต่อปี ซึ่งเมื่อรวมแล้วกองทุนมีโอกาสที่จะได้รับกระแสเงินสดประมาณ 7-12% ต่อปี ซึ่งถือว่าอยู่ในอัตราที่น่าพึงพอใจไม่น้อย

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกลยุทธ์นี้ต้องมีการลงทุนในหุ้น เพื่อพร้อมให้มีหุ้นส่งมอบเสมอ (หากราคาหุ้นขึ้นไปอยู่ในระดับที่ดึงดูดให้ผู้ซื้อสิทธิทำการซื้อหุ้นในราคาที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้า) ดังนั้น ผู้ลงทุนในกองทุนรวมดังกล่าวจะต้องสามารถรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการปรับตัวลดลงของราคาหุ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งในกรณีนี้หากผู้ลงทุนมั่นใจในหุ้นที่กองทุนนั้นๆ ถืออยู่ว่าเป็นหุ้นมีคุณภาพดี และราคาหุ้นมีโอกาสที่จะปรับเพิ่มขึ้นได้ในระยะยาวก็จะช่วยบรรเทาความกังวลที่อาจเกิดขึ้นจากการปรับตัวลดลงของราคาหุ้นในระยะสั้นลงได้

จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นได้ว่าในปัจจุบันนวัตกรรมทางการเงินมีส่วนช่วยตอบโจทย์ที่ผู้ลงทุนต้องการได้มากขึ้นแต่ในขณะเดียวกัน ผู้ลงทุนเองจะต้องให้ความสำคัญในการเรียนรู้แนวความคิดหลักของผลิตภัณฑ์เพื่อให้แน่ใจว่าผลตอบแทนและความเสี่ยงของผลิตภัณฑ์นั้นๆ เหมาะสมกับความต้องการและข้อจำกัดของเราหรือไม่ค่ะ

เข้าชม: 1,728

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com