บมจ. ปตท. เคมิคอล (PTTCH) ซื้อ ราคาปิด (บาท) 109.00 ราคาเป้าหมาย (บาท) 150.00 SET Index 791.25 Stock Information หุ้นที่ออกและชำระแล้ว (ล้านหุ้น) 1490.00 ราคาพาร์ (บาท) 10.00 Free Float (%) 24.49 มูลค่าตลาด (ล้านบาท) 162410.00 Foreign Limit (%) 40.00 Major Shareholders PTT (%) 49.80 SCC (%) 20.33 HMC 2.83
กำไรไตรมาส 4/50 จะสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ปรับคำแนะนำเป็น ซื้อ ราคาหุ้นลดลงจนน่าสนใจ ปรับคำแนะนำเป็น ซื้อ หลังจากที่เราปรับคำแนะนำเป็น ขายทำกำไร ราคาหุ้นได้ปรับลดลงมา 19% จนมาอยู่ในระดับที่ น่าสนใจลงทุนอีกครั้งหนึ่ง โดยระดับ PER ก็ลดลงมาอยู่ในระดับต่ำเพียง 8.0 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่มีความ เสี่ยงขาลงจำกัดหากพิจารณาจาก PE Band ที่อยู่ในช่วง 6-12 เท่า, อัตราเงินปันผลตอบแทนก็กลับมาสูง ถึง 5.3% และมี upside อีก 38% จากราคาที่เหมาะสมใหม่ของเราในปีนี้ที่ 150 บาท อ้างอิง PER 11 เท่า จากราคาหุ้นที่กลับมาถูกอีกครั้งบวกกับการขยายกำลังการผลิจโอเลฟินส์, ราคาของผลิตภัณฑ์ที่กลับมา สูงอีกครั้งในช่วงต้นปีและการขยายไปในธุรกิจปิโตรเคมีขั้นปลายเพิ่มมากขึ้น (ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลกำไรให้กับ บริษัท) ในปีนี้ ดังนั้นเราจึงปรับคำแนะนำเพิ่มขึ้นจาก ขายทำกำไร เป็น ซื้อ สำหรับ PTTCH คาดกำไรไตรมาส 4/50 ในเบื้องต้นอยู่ที่ 6 พันล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ในเบื้องต้น เราคาดว่าบริษัทจะรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 4/50 ออกมามีกำไรสุทธิ 6,026 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 4.04 บาท เพิ่มขึ้น 38% yoy และ 19% qoq ซึ่งเป็นผลมาจาก ปริมาณการจำหน่ายโอเลฟินส์ที่เพิ่มขึ้น 12% เป็น 1.7 ล้านตัน/ปี หลังขยายกำลังการผลิตเสร็จไปตั้งแต่ กลางปีก่อน ส่วน spread margin ของผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์แม้จะลดลงมากแต่ก็ได้ spread margin ที่ดี ขึ้นของผลิตภัณฑ์ HDPE และ MEG มาทดแทนบางส่วน รวมถึงการลดการใช้แนฟทาเป็นวัตถุดิบลงจาก 25% เหลือ 15% ก็ทำให้กำไรในไตรมาสนี้น่าจะประกาศออกมาสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้งหนึ่ง ปรับประมาณการผลกำไรเพิ่มขึ้น 20% และราคาที่เหมาะสมเพิ่มขึ้นเป็น 150 บาท จากผลประกอบการไตรมาส 4/50 ที่เราประเมินออกมาดีกว่าประมาณการเดิม ทำให้เราได้มี การปรับประมาณการผลกำไรปี 2550 เพิ่มขึ้น 7% เป็น 16,478 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 11.06 บาท ลดลง 5% yoy และปรับประมาณการผลกำไรปี 2551 เพิ่มขึ้น 20% yoy เป็น 20,273 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 13.61 บาท เติบโต 23% yoy ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับสมมติฐาน spread margin ของผลิตภัณฑ์ HDPE กับแนฟทา เพิ่มขึ้น 63% จาก 320 เหรียญ/ตัน เป็น 520 เหรียญ/ตันและการปรับมา ใช้แนฟทาเหลือเพียง 15% ในปีนี้ จากผลดังกล่าวทำให้เราได้มีการประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของบริษัทใหม่ โดยอ้างอิง PER เป้าหมายที่ 11 เท่า จะได้ราคาที่เหมาะสมในปีนี้อยู่ที่ 150 บาท
ไตรมาส 1/51 กำไรอาจทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง ราคาโอเลฟินส์ปัจจุบันปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามความต้องการและราคาน้ำมันที่สูง (ผลัก ดันให้ต้นทุนของผู้ผลิตที่ใช้แนฟทาเป็นวัตถุดิบมีราคาสูงขึ้น จึงผลักราคาไปสู่ราคาโอเลฟินส์) โดยราคาเอทิลี นเพิ่มขึ้น 18% qoq และ 28% yoy อยู่ที่ 1,360 เหรียญ/ตัน ส่วนราคาโพรพิลีนก็สูงขึ้น 11% qoq และ 15% yoy เป็น 1,250 เหรียญ/ตัน ในขณะที่ราคาวัตถุดิบแนฟทามีราคาเพิ่มขึ้น 7% qoq และ 65% yoy เป็น 860 เหรียญ/ตัน ตามราคาน้ำมันดิบ จากผลดังกล่าวทำให้ spread margin ของเอทิลีนเทียบกับ แนฟทา เพิ่มขึ้น 42% qoq และ 2% yoy และของโพรพิลีนเพิ่มขึ้น 20% qoq แต่ลดลง 24% yoy ในขณะ ที่ spread margin ของ HDPE เพิ่มขึ้นมาก 29% qoq และ 50% yoy ตามราคา HDPE ที่พุ่งขึ้นต่อ เนื่องมาอยู่ที่ 1,625 เหรียญ/ตัน ในส่วนของ spread margin ของ MEG ก็ดีขึ้น 149% yoy แม้ลดลง 4% qoq แต่ยังเป็นระดับที่สูงอยู่ตามราคาของ MEG ที่ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 1,500 เหรียญ/ตัน แม้ว่าราคา ของแนฟทาจะเพิ่มขึ้นมากตามราคาน้ำมันดิบแต่จากการที่บริษัทมีการลดการใช้แนฟทาเป็นวัตถุดิบน้อยลง (เพิ่มการใช้ก๊าซมากขึ้น) จาก 25% เหลือประมาณ 15%ทำให้ผลกำไรของบริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากการ ที่ราคาแนฟทาเพิ่มขึ้นมากนัก ดังนั้นผลกำไรของบริษัทจะยังอยู่ในเกณฑ์ดีอยู่ ซึ่งเราเชื่อว่าหาก spread margin ของผลิตภัณฑ์ทั้งหมดยังอยู่ในระดับดังกล่าว ผลกำไรในไตรมาส 1/51 จะสามารถทำจุดสูงสุดใหม่ ได้อีกครั้ง ราคาปิโตรเคมีคาดยังสูงในครึ่งปีแรก เราเชื่อว่าราคาปิโตรเคมีจะยังทรงตัวสูงได้ในครึ่งปีแรกของปี จากความต้องการจากประเทศ จีนเป็นหลัก บวกกับราคาน้ำมันที่ยังยืนสูงยังเป็นปัจจัยผลักดันราคาอยู่ นอกจากนั้นการที่โรงงานต่างๆ ทั่ว โลกมีการหยุดซ่อมบำรุงในแต่ละช่วง และการที่โรงงานที่สร้างขึ้นใหม่มีการล่าช้าออกไปก็จะช่วยหนุนราคา ในครึ่งปีแรกอีกด้วย อย่างไรก็ตามเราคาดว่าหลังการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่ประเทศจีนในเดือนสิงหาคมนี้ ราคาปิโตรเคมีส่วนใหญ่จะอ่อนตัวลง บวกกับโรงงานโอเลฟินส์ใหม่ ๆ ก็จะเริ่มผลิตในช่วงนั้น เช่น โรง งาน Arya Sasol (กำลังการผลิต 1 ล้านตัน) คาดว่าจะเริ่มผลิตไตรมาส 1/51 และผลิตเต็มที่ในไตร มาส 3/51 และโรงงาน Jam PC (กำลังการผลิต 1.32 ล้านตัน) ของประเทศอิหร่านคาดว่าจะเริ่มผลิต ไตรมาส 1/51 และผลิตเต็มที่ในไตรมาส 3/51 นอกจากนั้นยังมีอีก 3 โรงงานของประเทศซาอุดิอาระ เบีย กำลังการผลิตรวม 3.5 ล้านตัน คาดว่าจะเริ่มผลิตช่วงครึ่งปีหลังอีกด้วย ดังนั้นเราเชื่อว่าผลกำไรใน ครึ่งปีแรกของบริษัทจะยังดีอยู่ ส่วนครึ่งปีหลังแม้ราคาจะอ่อนตัวลงแต่การขยายกำลังการผลิตลงไปสู่ผลิตภัณฑ์ ปลายน้ำเช่น Phenol (กำลังการผลิต 200,000 ตัน PTTCH ถือหุ้น 30% เริ่มผลิตไตรมาส 3/51), MEG (ส่วนขยายกำลังการผลิต 23,750 ตัน เริ่มผลิตไตรมาส 4/51), Methy Ester/Fatty Alcohol (กำลังการผลิต 331,000 ตัน เริ่มผลิตไตรมาส 3/51) และ Ethanolamines (กำลังการผลิต 50,000 ตัน เริ่มผลิตไตรมาส 4/51) ก็จะช่วยพยุงผลกำไรให้กับบริษัทได้
18 ม.ค.--บล. กิมเอ็ง
|