บมจ. ธนาคารกรุงไทย (KTB) ถือ ราคาปิด (บาท) 8.70 ราคาเป้าหมาย (บาท) 10.90 SET Index 766.53 Stock Information หุ้นที่ออกและชำระแล้ว (ล้านหุ้น) 11180.00 ราคาพาร์ (บาท) 5.15 Free Float (%) 42.80 มูลค่าตลาด (ล้านบาท) 97264.00 Foreign Limit (%) 25.00 Major Shareholders กองทุนฟื้นฟูฯ (%) 55.52 Littledown Nominees Limited (%) 5.87 บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด (%) 4.42
รายงานผลประกอบการที่น่าผิดหวังอีกครั้งหนึ่ง รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 4/50 เพียง 134 ล้านบาท ลดลง 88%qoq และ 69%yoy KTB รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 4/50 ที่ 134 ล้านบาท ต่ำกว่าที่เราและตลาดคาดไว้อย่างมี นัยสำคัญ สาเหตุหลักมาจากการตั้งสำรองและภาษีจ่ายสูงกว่าที่เราคาดไว้ประมาณ 1 พันล้านบาทและ 900 ล้านบาท ตามลำดับ โดยกำไรสุทธิไตรมาส 4/50 ลดลง 88%qoq เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/50 เนื่องมา จาก 1) ในไตรมาส 4/50 ไม่มีเงินปันผลรับจากกองทุนวายุภักษ์เช่นที่มีในไตรมาส 3/50 และ 2) ค่าใช้ จ่ายภาษีเพิ่มขึ้นกว่า 30 เท่า หากเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน พบว่ากำไรสุทธิลดลง 69%yoy สาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายภาษีที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ กำไรสุทธิปี 50 อยู่ที่ 6,113 ล้านบาท ลดลง 57% จากปีที่แล้ว เนื่องมาจาก 1) การตั้ง สำรองที่สูง 1.95 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 18%yoy โดยเป็นการตั้งสำรองฯเพื่อรองรับเกณฑ์ IAS 39 และ การตั้งสำรองฯเผื่อความสูญเสียจากการลงทุนใน CDO (Collateralized Debt Obligations) 2) ค่าใช้จ่ายภาษีเพิ่มขึ้นกว่า 25 เท่า 3) ค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น 7%yoy โดยส่วนใหญ่มาจากค่าใช้ จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน และ 4) รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง 4%yoy เป็นผลมาจาก NIM ที่ลดลงประมาณ 20bps จากปีที่แล้ว สินเชื่อปี 50 ขยายตัวดีกว่าคาดที่ 3.8% ยอดสินเชื่อไตรมาส 4/50 เพิ่มขึ้นสูง 4.1%qoq ส่งผลให้สินเชื่อปี 50 ขยายตัวดีกว่าที่คาดไว้ที่ 3.8%yoy หรือประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท อันเป็นผลมาจากการปล่อยสินเชื่อให้แก่องค์กรรัฐวิสาหกิจและ ธุรกิจขนาดใหญ่อาทิเช่น ESSO ในไตรมาส 4/50 ในขณะที่สินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นปี 50 อยู่ที่ 96,084 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.4 พันล้านบาทจากสิ้นปี 49 โดย NPL Ratio เพิ่มขึ้นจาก 9.2% ณ สิ้นปี 49 เป็น 9.5% ปี 50 NIM ลดลง 20bps จากปี 49 จากสินเชื่อที่ชะลอตัวลงอย่างมากและปัญหา NPLs ที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ประกอบกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงในครึ่งปีแรก ส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Margin) ลดลงจากปีที่แล้วที่ 4.1% มาอยู่ที่ 3.9% ในปีนี้ หรือลดลงประมาณ 20bps โดย NIM ต่ำสุดใน ครึ่งปีแรก ปรับลดมูลค่าที่เหมาะสมลงเป็น 10.90 บาท/หุ้น แต่คงคำแนะนำ "ถือ" จากผลประกอบการไตรมาส 4/50 ที่ต่ำกว่าคาด ประกอบกับความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ และความไม่แน่นอนในการตั้งสำรองฯ ส่งผลให้หุ้น KTB มีความผันผวนค่อนข้างมาก ส่งผลให้เราปรับลด ประมาณการอัตราผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นระยะยาว (Long term ROE) จาก 15.5% เป็น 14.5% ส่งผล ให้มูลค่าที่เหมาะสมปี 51 ลดลงจาก 12.30 บาท/หุ้น เป็น 10.90 บาท/หุ้น เนื่องจากราคาปัจจุบันมี การปรับลดลงมามากโดยมีการซื้อขายที่เพียง 1.04 เท่าของมูลค่าทางบัญชี ดังนี้เราจึงคงคำแนะนำ "ถือ" โดยมองว่าธนาคารขนาดใหญ่อื่นอย่าง BBL และ KBANK มีความน่าสนใจมากกว่าเนื่องจากให้ผลตอบแทนที่ ดีกว่าประกอบกับความเสี่ยงที่ต่ำกว่า
22 ม.ค.--บล.กิมเอ็ง |