บมจ. วนชัย กรุ๊ป (VNG) เต็มมูลค่า ราคาปิด (บาท) 3.64 ราคาเป้าหมาย (บาท) 4.25 SET Index 740.65 Stock Information หุ้นที่ออกและชำระแล้ว (ล้านหุ้น) 1303.00 ราคาพาร์ (บาท) 1.00 Free Float (%) 38.50 มูลค่าตลาด (ล้านบาท) 4743.00 Foreign Limit (%) 49.00 Major Shareholders บริษัท เดอะ วนชัย กรุ๊ป อ๊อฟ คอมปานีส์ 40.40 นาย สมภพ สหวัฒน์ (%) 4.22 บริษัท บริหารสันทรัพย์ทวี (%) 3.29
คาดผลประกอบการไตรมาส 4/50 จะออกมาอยู่ในระดับต่ำ คงมุมมองเชิงลบในระยะกลาง เราคงมุมมองเชิงลบต่อแนวโน้มผลประกอบการในระยะกลางของ VNG ในระยะกลาง เนื่อง จาก 1)อัตรากำไรขั้นต้นถูกบั่นทอนจากต้นทุนราคาเมทานอลที่สูงและการแข็งค่าของเงินบาท 2)การเข้าสู่ ยุคเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯอเมริกามีแนวโน้มจะกดดันอัตราการเติบโตของอุปสงค์ต่อผลิตภัณฑ์ไม้อัด และ 3)ปัญหาผลผลิตส่วนเกินของแผ่นปาร์ติเกิ้ลยังคงจำกัดโอกาสในการปรับตัวขึ้นของราคาแผ่นไม่ปาร์ติเกิ้ล ใน ขณะเดียวกันโอกาสการเติบโตของผลประกอบการบริษัทในระยะยาวจะมาจากแผนการเพิ่มสายการผลิตแผ่น MDF ใหม่อีก 300,000 ลูกบาศก์เมตร/ปี เป็นกำลังการผลิตทั้งหมด 870,000 ลูกบาศก์เมตร/ปีในปี 2552 คาดกำไรไตรมาส 4/50 เท่ากับ 85 ล้านบาท เราคาดว่า VNG จะรายงานผลประกอบการไตรมาส 4/50 มีกำไรสุทธิเท่ากับ 85 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 0.06 บาท) ลดลง 25% จากไตรมาสก่อนและ 51% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมี สาเหตุหลักมาจากราคาเมทานอลที่พุ่งขึ้นสูงถึง 138% จากระดับเฉลี่ยที่ 290 เหรียญสหรัฐฯ/ตันในไตรมาส 3/50 เป็น 620 เหรียญสหรัฐฯ/ตันในไตรมาส 4/50, ฤดูฝนในภาคใต้ดันให้ราคาไม้ยางพาราปรับตัวขึ้น 15% จากไตรมาสก่อนหน้า, ราคาแผ่น MDF และปาร์ติเกิ้ลลดลงมาจาก 246 เหรียญสหรัฐฯ/ลูกบาศก์ เมตรและ 125 เหรียญสหรัฐฯ/ลูกบาศก์เมตรเป็น 240 เหรียญสหรัฐฯ/ลูกบาศก์เมตรและ 120 เหรียญ สหรัฐฯ/ลูกบาศก์เมตรในไตรมาส 4/50 เนื่องจากผลประกอบการไตรมาส 4/50 ที่มีแนวโน้มจะออกมาต่ำ กว่าคาดการณ์เดิมของเรา ดังนั้นเราจึงปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2550 ลง 3.9% เป็น 558 ล้าน บาท (กำไรต่อหุ้น 0.43 บาท) คงคำแนะนำ "เต็มมูลค่า" แม้ว่าราคาหุ้นจะอ่อนตัวลงมา 33% จากจุดสูงสุดในปี 2550 และขณะนี้มีส่วนต่างจากราคา เหมาะสมใหม่ของเราที่ 4.25 บาท/หุ้นซึ่งอิง PER ปี 2551 ที่ 8 เท่าอยู่ 16% แต่เรายังคงคำแนะนำ เต็มมูลค่า เนื่องจากเรายังกังวลต่อปัจจัยความเสี่ยงในระยะกลางดังนี้ ต้นทุนราคาเมทานอลในระดับสูง, ผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯต่อผลิตภัณฑ์ไม้อัด เช่น เฟอร์นิเจอร์และวัสดุก่อสร้าง ประกอบกับ เรายังไม่เห็นปัจจัยบวกที่จะเข้ามาเสริมราคาหุ้นได้ในระยะสั้น อย่างไรก็ตามเรายังชอบปัจจัยพื้นฐานใน ระยะยาวของบริษัทตามแผนการเป็นผู้นำในการผลิตแผ่นปาร์ติเกิ้ลและ MDF ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ รวมถึงการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ ราคาเมทานอลในเอเชียพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 285 เหรียญสหรัฐฯ/ตันในเดือนสิงหาคมสู่ ระดับปัจจุบันที่ 720 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน เนื่องจากแผนการปิดซ่อมบำรุงสายการผลิตของผู้ผลิตรายใหญ่ใน ยุโรป ประกอบกับราคาน้ำมันดิบในระดับสูงและอุปสงค์ที่แข็งแกร่งของเมทานอลในปัจจุบัน คาดกำไรปี 2551 เติบโต 24% จากปีก่อน เนื่องจากราคาเมทานอลพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วเป็น 720 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน เราจึงปรับลด ประมาณการกำไรปี 2551 ของเราลง 3.5% เป็น 692 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 0.53 บาท) อย่างไรก็ ตามเราคาดว่ากำไรปี 2551 จะพัฒนาขึ้น 24% จากปีก่อน เนื่องจากบริษัทจะรับรู้รายได้จากสายการผลิต แผ่น MDF สายที่ 2 ซึ่งมีกำลังการผลิต 220,000 ลูกบาศก์เมตร/ปีเต็มปี 2551 ในขณะที่เราคาดว่าในที่ สุดแล้วราคาเมทานอลจะปรับตัวลดลงมาสู่ระดับปกติตามการกลับมาผลิตของผู้ผลิตเมทานอลยักษ์ใหญ่ในยุโรป ซึ่งมีกำหนดการปิดสายการผลิตเมทานอลเพื่อซ่อมบำรุงตามแผนไปในช่วงที่ผ่านมา
24 ม.ค.--บล. กิมเอ็ง |