ทันหุ้น-แบงก์ปี2552 แข่งระดมเงินฝากตุนสภาพคล่อง แต่สินเชื่อซบตามเศรษฐกิจ จุกหนี้เน่าฉุดกำไรลด โดยเฉพาะแบงก์เล็กเช่าซื้อ ส่วนแบงก์ใหญ่พื้นฐานธุรกิจแน่นปึ้ก ส่วนราคาหุ้นแข่งอัพไซด์สูง คาดฟื้นตัวไวแม้ตลาดผันผวน ทั้งBBL-KBANKและSCB ขณะที่SCB และKTB ควงคู่รับอานิสงส์รัฐอัดฉีดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน)TMB เปิดเผยว่า แนวโน้มการแข่งขันธนาคารพาณิชย์ปี 2552 เชื่อว่าจะลดลงเนื่องจากผลกระทบเศรษฐกิจชะลอตัว อีกทั้งเชื่อว่าตลาดจะผันผวนต่อเนื่อง ทั้งนี้ธนาคารพาณิชย์มีความเสี่ยงของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)เพิ่มขึ้น ซึ่งกดดันให้กำไรจากการดำเนินงานลดลง แต่ทุกธนาคารต้องทำคือ ดูแลกลุ่มลูกค้าใกล้ชิดเพื่อให้อยู่รอดจากเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่จะรักษาฐานลูกค้าไว้ได้
“เชื่อว่าแบงก์ขนาดใหญ่ยังดำเนินงานได้ต่อเนื่อง แต่น่าห่วงแบงก์ขนาดเล็กเนื่องจากความแข็งแกร่งน้อยกว่า อีกทั้งเศรษฐกิจชะลอตัวอาจจะส่งผลให้รายได้ และกำไรสุทธิลดลงมากกว่าแบงก์ขนาดใหญ่”นายบุญทักษ์ กล่าว
ทั้งนี้ธนาคารจะมุ่งดำเนินงานตามแผน 3 ปี โดยตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด(มาร์เก็ตแชร์)เป็น 14% จากปัจจุบันอยู่ที่ 7% อีกทั้งตั้งเป้าเป็นผู้นำด้านเงินฝาก หรือเพิ่มสัดส่วนเงินฝากกระแสรายวันต่อออมทรัพย์เป็น 50% จาก 40% เพื่อลดต้นทุนให้ต่ำลง ปัจจุบันธนาคารมีเงินเพียงพอล้างขาดทุนสะสมทั้งหมด แต่ติดหุ้นบุริมสิทธิ์ของกระทรวงการคลัง ซึ่งจะต้องรอให้คลังโอนหุ้นดังกล่าวเป็นหุ้นสามัญก่อน จึงจะล้างขาดทุนสะสมได้
*แข่งตุนเงินฝาก
นายปรเมศวร์ พรหมบุรี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ การตลาดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน)KK กล่าวว่า ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ปี2552จะแข่งขันต่อเนื่อง โดยเฉพาะเงินฝาก ซึ่งจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกกดดันให้สภาพคล่องในระบบลดลง อีกทั้งต้องเผชิญความเสี่ยงจากNPLเพิ่มขึ้น ทำให้ต้องตั้งสำรองเพิ่มขึ้น
นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด กล่าวว่า ธนาคารพาณิชย์ปี2552ยังมีความเสี่ยงจาก NPLที่เริ่มมีสัญญาณเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่เชื่อว่าทุกแห่งจะควบคุมNPL โดยเลือกปล่อยสินเชื่อเฉพาะลูกค้าบางกลุ่ม จึงเชื่อว่าอนาคตNPLใหม่จะลดลง
ทั้งนี้ แนะนำลงทุนหุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) SCB เพราะจะได้ประโยชน์จากการที่ภาครัฐเข้าไปกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ จึงเชื่อว่า SCB ที่มีพอร์ตสินเชื่อที่อยู่อาศัยถึง 25% จะได้รับประโยชน์ และส่งผลให้สินเชื่อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) KTB จะมีสินเชื่อเติบโตก้าวกระโดดภายหลังจากรัฐขอสินเชื่อเพื่อนำไปกระตุ้นระบบเศรษฐกิจ
ส่วนทิศทางราคาหุ้นทั้งกลุ่ม คาดว่าจะมีแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติ อีกทั้งเศรษฐกิจชะลอตัวชัดเจน อาจกดดันราคาหุ้นลดลง ซึ่งปีที่ผ่านมาราคาหุ้นลดลงมากแล้ว จึงส่งผลให้ราคาหุ้นปี 2552 มีอัพไซด์สูง อีกทั้งปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งเนื่องจากไม่มีปัญหาเหมือนกับสถาบันการเงินในสหรัฐและยุโรป แนะนำ “หาจังหวะเข้าลงทุน”
นายวรุตม์ กล่าวต่อว่า ถ้าในปี2552 ถ้าวิกฤติการเงินโลกเริ่มคลี่คลายลงเชื่อว่าธนาคารที่จะฟื้นตัวที่สุด คือ KBANK และ SCB เพราะนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศต่างมีพอร์ตลงทุนในหุ้นทั้ง 2 ตัวสูง อีกทั้งธนาคารยังมีจุดเด่นคือสินเชื่อรายย่อยที่เติบโตต่อเนื่อง และการบริหารความเสี่ยงสินเชื่อSMEที่ดี จึงแนะนำ “ซื้อ” KBANK ให้ราคาเหมาะสม 90 บาท มีอัพไซด์ 97.8% และ SCBราคาเหมาะ 88 บาท มีอัพไซด์ 93.4%
*SCBพื้นฐานแกร่ง
ด้านนายปรเมศร์ ทองบัว ผู้อำนวยการสำนักวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า ให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคาร”เท่ากับตลาด” เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัวจะส่งผลให้สินเชื่อเติบโตลดลง อีกทั้งมีความเสี่ยงจากNPL แต่หุ้นที่แนะนำคือ SCB เนื่องจากพื้นฐานธุรกิจแข็งแกร่ง อีกทั้งมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง(BIS)สูง และมีการบริหารหนี้NPLได้ดี คาดNPLปีนี้อยู่ที่ 5%
นายวรวัฒน์ สายสุพัฒน์ผล ผู้ช่วยผู้จัดการ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หุ้นกลุ่มธนาคารผันผวนเนื่องจากได้รับแรงกดดันจากเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศชะลอตัวลงกดดันราคาหุ้นลดลง ส่วนกลยุทธ์ลงทุนแนะนำหุ้น SCB BBL และ KBANK เนื่องจากยังปรับตัวได้ดี อีกทั้งพื้นฐานธุรกิจแข็งแกร่ง แต่หลีกเลี่ยงกลุ่มเช่าซื้อเพราะราคาหุ้นอาจปรับลดลงเร็วเนื่องจากรายได้ลดลง
นางสาวสุกัญญา อุดมวรนันท์ นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่มธนาคารเช่าซื้อจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัวมากสุด จากยอดขายรถยนต์ลดลงถึง 20% และส่งผลต่อราคาหุ้นทั้งKK TISCO และ TCAP
จึงได้ปรับลดราคาเหมาะสมดังนี้ BBL อยู่ที่ 80 บาท , KBANK อยู่ที่ 63 บาท , SCBอยู่ที่ 60 บาท , KTB อยู่ที่ 4.20บาท , SCIBอยู่ที่ 8.8 บาท , BAYอยู่ที่ 12 บาท , TMBอยู่ที่ 0.66 บาท , TISCO อยู่ที่ 10.80บาท และTCAPอยู่ที่ 8.40 บาท โดยคาดว่า สินเชื่อกลุ่มธนาคารปี2552จะเติบโต 5% ส่วนปี 2553จะเติบโต 10%เนื่องจากเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้น
นักวิเคราะห์กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารมีโอกาสลดลงเพราะวิกฤติการเงินโลกยังไม่เห็นสัญญาณบ็อททัม(Bottom) ซึ่งคาดว่าGDPปี2552จะอยู่ที่ 2% ซึ่งส่งผลต่อธุรกิจ และราคาหุ้น แต่BBL แม้จะได้รับผลกระทบจากการลงทุนในเลห์แมนมากที่สุด ส่งผลให้ราคาหุ้นที่ผ่านมาลดลง 46.36% แต่ถ้าวิกฤติทั้งในประเทศและต่างประเทศเริ่มผ่อนคลายเชื่อว่าราคาหุ้นจะฟื้นตัวดีสุด
อย่างไรก็ตาม ได้ปรับลดประมาณการณ์กำไรสุทธิ และปรับประมาณการสินเชื่อทั้งกลุ่มปี 2552 เติบโตเพียง 5.2% จากเดิมที่ 6.3% หรือประมาณ 5.4 ล้านล้านบาท ซึ่งคาดว่า BBL สินเชื่อโต 5% จากเดิม 6% , KBANKโต 5% จากเดิม 6% , KTBโต 5%, SCBสินเชื่อโต 5%, SCIBสินเชื่อโต 7% จากเดิม 6% , TISCOโต 8% จากเดิม 16.6% , KKโต 8%จากเดิม 24% , TCAPโต 8% จากเดิม 15% และ TMB โต 2%จากเดิม 5% ,
“สาเหตุที่ไม่ปรับเป้าสินเชื่อ KTB และ SCB ลงเนื่องจากปีนี้ทั้ง 2 ธนาคารจะได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐบาล ทั้งการขอสินเชื่อจาก KTBกระตุ้นเศรษฐกิจ และการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่องของ SCB
ส่วนกลยุทธ์ลงทุนแนะนำ “รอจังหวะลงทุน” ประเมินBBLที่ราคาเหมาะสม 98 บาท , KBANK อยู่ที่ 65 บาท , SCBอยู่ที่ 70 บาท ,KTB อยู่ที่ 6.8 บาท , SCIB อยู่ที่ 9.8 บาท ,TMBอยู่ที่ 0.94 บาท , TISCO อยู่ที่ 12 บาท และTCAPอยู่ที่ 10.10 บาท
|