ทันหุ้น-เม็ดเงินนอกไหลเข้าตลาดหุ้นไทยแค่ระยะสั้น ชี้วิกฤติการเงินอาจก่อตัวเป็นวิกฤติเศรษฐกิจแทน แถมมาตรการรัฐบาลใหม่ช่วยชะลอไหลออกของเม็ดเงิน ส่วนกลางปีบาทส่อแววอ่อน 37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เพราะส่งออกและท่องเที่ยวรับผลกระทบหนักช่วงต้นปี52 ส่งผลไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลการค้ามากขึ้น
นางสาวอุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด(ไทย)เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นเปิดทำการวันแรกของปี2552 เมื่อวานนี้(5 ม.ค.)ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเชื่อว่าเม็ดเงินไหลเข้าดังกล่าวเป็นเพียงปรากฎการณ์ระยะสั้น หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นการลงทุนเพื่อตอบรับดัชนีดาวโจนส์เปิดทำการวันแรกเมื่อวันศุกร์ 30 ธ.ค.2551 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 258 จุด มาอยู่ที่ 9,034.69 จุด
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาลงทุนในประเทศไทยต่อเนื่องเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยากมาก เพราะส่วนตัวเชื่อว่าวิกฤติการเงินที่ลุกลามเป็นวิกฤติเศรษฐกิจที่เพิ่งจะเริ่มต้น อีกทั้งวิกฤติสหรัฐยังเห็นจุดต่ำสุดได้ยาก ดังนั้นมองว่าประเทศไทยยังมีโอกาสที่จะเห็นเม็ดเงินไหลออกมากกว่าไหลเข้า “การที่มีเม็ดไหลเข้ามาเป็นเพียงปรากฎการณ์หนึ่งเท่านั้น ท้ายสุดเชื่อว่าจะยังเห็นเม็ดเงินไหลออก เพราะวิกฤติเศรษฐกิจ ส่งผลให้นักลงทุนเทขายหุ้นออกมากขึ้น โดยเชื่อว่าในปีนี้หุ้นจะทำจุดต่ำสุดใหม่ ซึ่งโอกาสที่ไทยจะมีเม็ดเงินไหลเข้ามาต่อเนื่องเป็นเรื่องยากมาก” นางสาวอุสรา กล่าว ส่วนกลางปีนี้อาจจะเห็นค่าเงินบาทเคลื่อนไหวแตะระดับ 37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากผลพวงจากการที่ภาคส่งออก และการท่องเที่ยวจะได้รับผลกระทบหนักช่วงต้นปี2552 ส่งผลให้ประเทศไทยขาดดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดมากขึ้น
นางสาวอุสรา กล่าวต่อว่า ในช่วงปีนี้เป็นช่วงที่ค่าเงินบาท และค่าเงินทั่วโลก รวมทั้งตลาดหุ้นทั่วโลกจะมีความผันผวนมากเนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจเริ่มย่ำแย่ลงต่อเนื่อง ฉะนั้นภาพรวมการลงทุนต้องระมัดระวังการเข้าลงทุน หรืออาจกล่าวได้ว่าภาพการเข้าลงทุนในตลาดปีนี้ เป็นตลาดแบบ “เก็งกำไร” มากกว่า “ซื้อ”ลงทุนระยะยาว
ด้านนายบรรลือศักดิ์ ปุสสะรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) BT กล่าวว่า ในปีนี้จะเห็นเม็ดเงินไหลออกมากกว่าไหลเข้า เนื่องจากเป็นปีที่วิกฤติเศรษฐกิจจะเข้ามากระทบต่อภาพรวมการลงทุนมากที่สุด แต่โดยส่วนตัวเชื่อว่าจากการที่รัฐบาลมีการวางแผนนโยบายเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจจะเป็นปัจจัยหนุนที่จะชะลอการไหลออกของเม็ดเงินได้ แม้จะยังไม่เห็นเม็ดเงินใหม่ไหลเข้ามาก็ตาม
นักค้าเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ค่าเงินบาทวานนี้(5 ม.ค.) ทรงตัวเชื่อว่าค่าเงินสกุลดอลลาร์เริ่มแข็งค่าขึ้น หลังจากคาดว่าตลาดยุโรปมีโอกาสปรับอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งการปรับลดดอกเบี้ยนั้นจะส่งผลให้ค่าเงินอ่อนค่าลง ซึ่งฝ่ายวิจัยมองว่าค่าเงินบาทสัปดาห์นี้(5-9 ม.ค.52) เคลื่อนไหวระดับ 34.60-34.90 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าค่าเงินบาทจะกลับมาอ่อนค่าแตะ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้เพราะเชื่อว่าแม้ประเทศไทยจะได้รัฐบาลใหม่ที่มีแผนนโยบายชัดเจน แต่อาจจะมีปัจจัยการเมืองเข้ามากระทบอีกครั้ง และอาจจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นด้านการลงทุนเช่นเดียวกัน
สำหรับค่าเงินบาท(5 ม.ค.52) ปิดตลาดระดับ 34.91-34.92 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งระหว่างวันแข็งค่าสุด 34.76 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และอ่อนค่าสุด 34.92 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
|