ทันหุ้น-บลจ.ไอเอ็นจียิ้มร่า ปี2551สินทรัพย์พุ่ง 15%จากปีก่อนที่มี 1.8 แสนล้านบาท หลังยอดขายผ่านแบงก์แม่TMBเพิ่มขึ้น 20% ตั้งเป้าปีนี้ขอโตอีก 30-40% จ่อขายกองผสมใหม่ มูลค่า 5 พันล้านบาทภายในเดือนมีนาคมนี้ เน้นลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ในประเทศ พร้อมปัดฝุ่นกองเก่าทำการตลาด นายจุมพล สายมาลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายธุรกิจกองทุนรวมและที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2552 บริษัทตั้งเป้าจะเติบโตขึ้น 10% จากปี2551 ซึ่งสอดคล้องกับอุตสาหกรรมกองทุนที่คาดว่าจะเติบโตจากปี 2551 ประมาณ 5-10% โดยยังคงนโยบายเสนอขายกองทุนรวมให้ครอบคลุมกับความต้องการของลูกค้าเช่นเดียวกับปีก่อน
“ปีนี้บริษัทตั้งเป้าว่าจะมีรายได้ผ่านช่องทางแบงก์แม่ทหารไทยเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 30-40% และที่เหลือจะมาจากตัวแทนขายและส่วนอื่น” นายจุมพล กล่าว ส่วนแผนออกกองทุนใหม่ปีนี้ บริษัทจะชะลอการเปิดขายในช่วงเดือนมกราคมก่อน เพื่อพิจารณาภาวะการลงทุนโดยรวม และความต้องการของนักลงทุน รวมทั้งกองทุนเดิมที่เปิดขายจะมีนโยบายการลงทุนที่ครอบคลุมการลงทุนอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม บริษัทตั้งเป้าจะเปิดขายกองทุนตราสารหนี้ในประเทศเดือนละ 1 กองทุนเพื่อชดเชยกองทุนปิดที่จะทยอยครบอายุโครงการ โดยเฉพาะกองทุนพันธบัตรเกาหลีใต้ ซึ่งมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ(NAV) รวม 1 หมื่นล้านบาท และจะครบอายุโครงการภายในไตรมาส 2/2552
“ในช่วงแรกเชื่อว่าเม็ดเงินกองทุนเกาหลีที่ครบอายุยังอยู่ในกองทุนตลาดเงิน(มันนี่มาร์เก็ต) ของบริษัท เพราะเป็นกองทุนที่มีความปลอดภัยสูง ส่วนกองทุนใหม่ที่จะเปิดขายกองแรกจะเป็นกองพันธบัตรรัฐบาล” นายจุมพล กล่าว
นอกจากนี้ ในช่วงเดือนมีนาคม บริษัทมีแผนจะเสนอขายกองทุนผสม ที่เน้นลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ในประเทศ มูลค่า 5 พันล้านบาท เพื่อให้โลเคชั่นเหมาะสมกับการลงทุนระยะยาวเนื่องจากปีนี้ยังอยู่ในช่วงดอกเบี้ยขาลง ส่งผลให้การลงทุนในพันธบัตรมีผลตอบแทนต่ำ ขณะที่การลงทุนในหุ้นมีความผันผวนสูงทำให้เงินใหม่ที่ลงทุนได้รับความเสี่ยงมากกว่าคนที่ลงทุนอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตามบริษัทจะไม่เปิดขายกองทุนหุ้นเพิ่มขึ้นอีก แม้จะตลาดหุ้นมีโอกาสจะฟื้นตัวดีขึ้นจากปี 2551 แต่ความผันผวนในครึ่งปีแรก2552จะสูงขึ้น เนื่องจากคงกังวลกับสถานการณ์การเมืองที่แม้จะความขัดแย้งจะลดลง แต่ยังมีความเสี่ยงอยู่
ปัจจุบันกองทุนหุ้นของบริษัท โดยเฉลี่ยจะยังถือเงินสดสูงประมาณ 10-15% เพิ่มขึ้นจากช่วงภาวะตลาดหุ้นปกติที่จะถือเงินสดไม่เกิน 5% และมีโอกาสสูงที่ปีนี้การถือครองเงินสดจะปรับลดลงมาอยู่ในสัดส่วนปกติ เนื่องจากประเมินว่าตลาดหุ้นไทยจะปรับดีขึ้นจากปี 2551
“การบริหารพอร์ตลงทุนกองหุ้นปีนี้ บริษัทจะทยอยลงทุนในหุ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะหุ้นพื้นฐานดีและมีแนวโน้มจะเติบโตได้ในอนาคต เพราะหุ้นถูกมากแล้ว ส่งผลให้นักลงทุนที่ลงทุนอยู่เดิมมีโอกาสรับผลตอบแทนเพิ่มขึ้น” นายจุมพล กล่าว
นายจุมพลกล่าวถึงภาพรวมการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ(RMF)ปี 2551ว่า บริษัทมีเม็ดเงินลงทุนใหม่เพิ่มขึ้นเพียง 80-90 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมาย 150 ล้านบาท เนื่องจากความกังวลตลาดหุ้นโดยรวมที่ปรับลดลงรุนแรง ส่งผลให้นักลงทุนใหม่ชะลอการเข้าลงทุนก่อน ขณะที่นักลงทุนที่ลงทุนอยู่แล้ว มีบางรายงดใช้สิทธิตามมาตรการขยายวงเงินลดหย่อนภาษี 7 แสนบาท
อย่างไรก็ตาม ในปี 2551 บริษัทมีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) เพิ่มขึ้น 15% มาอยู่ที่ประมาณ 2 แสนกว่าล้านบาท ขณะที่ปี 2550 มีอยู่เพียง 1.8 แสนล้านบาทเนื่องจากบริษัทมีช่องทางจำหน่ายหน่วยกองทุนเพิ่มขึ้นจากเครือข่ายสาขาธนาคารทหารไทย จำกัด(มหาชน)TMB ซึ่งมีกว่า 412 สาขาทั่วประเทศ ส่งผลให้บริษัทมีเม็ดเงินใหม่ผ่านช่องทางดังกล่าวเพิ่มขึ้น 20%
“บริษัทอยู่ระหว่างการสรุปข้อมูลการเติบโตของปีที่ผ่านมา ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่าจะเติบโตใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2.04 แสนล้านบาท ซึ่งสวนทางกับอุตสาหกรรมที่ติดลบกว่า 8.4 หมื่นล้านบาท” นายจุมพลกล่าว
|