May 21, 2024   3:05:35 AM ICT
ธนชาตปัดฝุ่นกองบอนด์ขาย ลุยตราสารอายุสั้นสร้างยิลด์

ทันหุ้น-บลจ.ธนชาตปัดฝุ่นกองทุนเปิดตราสารหนี้ขายรับศักราชใหม่  ชูกลยุทธ์เก็งกำไรตราสารสร้างผลตอบแทนสูงกว่ากองโรลล์โอเวอร์ที่ปัจจุบันยิลด์สูง 1.9% พร้อมคาดกนง.หั่นดอกเบี้ยลงอีก 0.25-0.50% ส่วนทั้งปีดันเป้าAUMทะลุ 1 แสนล้านบาท จากปีก่อน 8 หมื่นล้านบาท  เล็งออกกองใหม่ทั้งกองFIF  กองหุ้น และตราสารหนี้


 นายบุญชัย  เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)ธนชาต จำกัด เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานในไตรมาส 1/2552ว่า บริษัทจะเน้นขายกองทุนรวมตราสารหนี้ ประเภทกองทุนเปิดและกองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market) มากกว่ากองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น ประเภทขายหน่วยลงทุนเป็นรอบเวลา (โรลล์โอเวอร์) ระยะสั้น 3 เดือนและ 6 เดือน และกองทุนหุ้น


 ทั้งนี้เนื่องจากนักลงทุนยังต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำอยู่ โดยเชื่อว่าไตรมาส 1/2552 สถานการณ์ตลาดหุ้นยังไม่มีความชัดเจนมากนัก ซึ่งส่งผลกระทบต่อความน่าสนใจของกองทุนหุ้นให้ลดลงเช่นกัน  ขณะที่ผลตอบแทนของกองทุนตราสารหนี้ประเภทโรลล์โอเวอร์ เมื่อครบรอบขายหน่วยลงทุนถัดไปมีแนวโน้มที่อัตราผลตอบแทน(ยิลด์) ปรับลดลงต่อเนื่อง  จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.9-2.0%ต่อปีเนื่องจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง


 “การลงทุนในตราสารระยะสั้น  นักลงทุนจะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่ากองโรลล์โอเวอร์ เพราะผู้จัดการกองทุนจะหาจังหวะเข้าทำกำไร โดยการขายตราสารที่มียิลด์ต่ำและซื้อที่ยิลด์สูง รวมทั้งมีโอกาสเข้าไปลงทุนในตราสารระยะยาว ซึ่งยิลด์จะปรับเพิ่มขึ้นหากอยู่ในช่วงดอกเบี้ยขาลง”นายบุญชัย กล่าว
 อย่างไรก็ตาม บริษัทจะเน้นเสนอขายกองทุนเดิมที่อยู่แล้วแทนการปิดขายกองทุนใหม่ โดยกลยุทธ์ที่จะใช้กระตุ้นยอดขายจะเน้นการพูดคุยและให้ความรู้กับนักลงทุนผ่านตัวแทนขาย ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ได้ผลมาแล้ว โดยเฉพาะกองทุนเปิดธีรสมบัติ (TSB) ซึ่งมีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV) เพิ่มขึ้นจากช่วงเดือนตุลาคม 2551 ที่มี 118 ล้านบาท มาอยู่ที่ 753 ล้านบาท และกองทุนเปิดธนชาตตราสารหนี้ (NFF) ที่มีมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 777 ล้านบาทจากเดือนตุลาคมที่มี 563 ล้านบาท


 นายบัญชัย กล่าวต่อว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ในวันที่ 14 มกราคมนี้จะมีพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตร(R/P)ระยะ 1 วันลงได้อีก ซึ่งคาดว่าจะปรับลดลงประมาณ 0.25-0.50% จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.75% เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชน และอุปโภคบริโภคของประชาชน ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจปรับดีขึ้นต่อเนื่องระยะยาว


 นอกจากนี้เพื่อเป็นการป้องส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายระหว่างประเทศให้สูงมากเกินไป เนื่องจากธนาคารกลางของต่างประเทศยังเลือกใช้นโยบายผ่อนปรนทางการเงินด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเช่นกัน


 “อัตราที่กนง.จะปรับลดลงนั้น คงต้องดูจากตัวเลขเศรษฐกิจ (GDP) ในไตรมาส 4/2551 ว่าปรับลดลงมากน้อยอย่างไร   ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องทำให้ยิลด์ของตราสารนี้ระยะสั้นปรับลดลงได้อีก โดยกองตลาดเงินปัจจุบันมียิลด์อยู่ที่ 2.0-2.2%ต่อปี”นายบุญชัย กล่าว


 สำหรับความกังวลอัตราผลตอบแทนของกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นจะปรับลดลงต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ซึ่งอยู่ที่  0.75% อาจเกิดขึ้นได้ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างไร รวมทั้งแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่างประเทศด้วย
 นายบุญชัยกล่าวต่อว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าจะมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารจัดการ(AUM) เพิ่มขึ้นเป็น 1 แสนล้านบาท จากปี 2551 ที่เติบโตอยู่ที่ 8 หมื่นล้านบาท โดยบริษัทยังหาช่องทางลงทุนที่ดีและเหมาะกับช่วงเวลาต่อเนื่อง


 “เบื้องต้นบริษัทมีโพรดักส์อยู่ในมืออยู่แล้ว ทั้งกองทุนหุ้น กองตราสารหนี้ กองทุนเพื่อลงทุนต่างประเทศ (FIF) ซึ่งต้องพิจารณาช่วงจังหวะเหมาะสมอีกครั้ง”นายบุญชัย กล่าว

เข้าชม: 992

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com