May 21, 2024   4:27:59 AM ICT
เจาะหุ้นกลุ่มแบงก์....ชู BBL-SCBเต็ง 1

หากการปรับโครงสร้าง  NPL สัดส่วนของ BBL อาจลดลงเหลือประมาณ 4.0% จาก 5.7% ในไตรมาส 3/51 ซึ่งจะทำให้ Coverage Ratio กระโดดไปสูงกว่า 100%-120%   ส่วน SCB พอร์ทสินเชื่อซึ่งมีความเสี่ยงที่ NPL จะก่อตัวต่ำกว่าธนาคารอื่น ปัจจัยดังกล่าวอาจเพิ่ม Upside ต่อประมาณการกำไรในปี 2552 ทำให้ SCB เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มแบงก์เช่นกัน

 บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ(ประเทศไทย)จำกัด(มหาชน) ประเมินว่า BBL จะรายงานกำไรไตรมาส 4/51 ในระดับสูงถึง 4.8 พันล้านบาทเพิ่มขึ้น 17.7% YoY และ 11.5% QoQ  คาดว่าค่าใช้จ่ายสำรองจะเพิ่มสูงขึ้น กำไรยังจะเพิ่มขึ้น YoY จากสินเชื่อที่ขยายตัวประมาณ 12.7% YoY ส่วนต่างดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น และผลขาดทุนจากการลงทุนที่ลดลง ในขณะที่ตัวเลข QoQ เพิ่มขึ้นจากผลขาดทุนจากการลงทุนที่ลดลงหลัง BBL บันทึกผลขาดทุนจากการลงทุนใน Lehman ในไตรมาส 3/51 สำหรับรอบบัญชีในปี 2551 คาดว่า จะรายงานกำไรที่ 19.8 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3% YoY


* คาดสินเชื่อขยายตัวเกือบ 13% ปีนี้ขณะที่ NIM ยังทรงๆ จากไตรมาสก่อน


 คาดว่าสินเชื่อจะขยายตัวประมาณ 12.7% YoY ในปี 2551 จากการขยายตัวที่ดีในช่วงต้นปีจากความต้องการสินเชื่อหมุนเวียนของกิจการขนาดใหญ่ และความต้องการตามฤดูกาลที่ฟื้นตัวในเดือน ธ.ค. 2551 ซึ่งเป็นตัวเลขการขยายตัว YoY ที่สูงที่สุดหลังวิกฤตการณ์ทางการเงินของเอเชียสำหรับ BBL 


 นอกจากนั้นแม้ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อต้นเดือน ธ.ค. 51  คาดว่าส่วนต่างดอกเบี้ย (NIM) จะทรงๆจากไตรมาส 3/51 ที่ประมาณ 3.36-3.38% ตัวเลขดังกล่าวควรสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของ BBL ในการคิดอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นตามความเสี่ยงสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นและคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น


* จับตาดูความเป็นไปได้เกี่ยวกับข่าวดีด้านการปรับโครงสร้าง NPL 


 การปรับโครงสร้าง NPL ประมาณ 2 หมื่นล้านบาทของลูกค้าในอุตสาหกรรมน้ำตาล แต่ไม่ได้รับรายละเอียด ในภาพรวม BBL จะสามารถบริหารสัดส่วน NPL ให้อยู่ในช่วง 5-6% ในความเห็น หากการปรับโครงสร้าง  NPL ประสบความสำเร็จ สัดส่วน NPL ของ BBL อาจลดลงเหลือประมาณ 4.0% จาก 5.7% ในไตรมาส 3/51 ซึ่งจะทำให้ Coverage Ratio กระโดดไปสูงกว่า 100%-120% จากระดับปัจจุบันที่ 90% และเพิ่มสำรองส่วนเกินของ BBL  ซึ่งในปัจจุบันที่กว่า 2 หมื่นล้านบาทให้สูงขึ้นไปอีก และทำให้ลดแรงกดดันด้านการตั้งสำรองในอนาคต แม้ว่า BBL จะมีสัดส่วนสินเชื่อความเสี่ยงสูงใน  ด้านการผลิตอยู่เป็นจำนวนมากถึงเกิน 55% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่เพียง 43% รวมถึงลดแรงกดดันในด้านคุณภาพสินทรพัย์ของสินเชื่อต่างประเทศที่คิดเป็นกว่า 16-18% ของสินเชื่อของ BBL


* คงคำแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 82 บาทต่อหุ้น


 จากกำไรที่คาดว่าจะอยู่ในระดับสูงในไตรมาส 4/51 และความเป็นไปได้เกี่ยวกับ  Upside เพิ่มเติมจากการปรับโครงสร้าง NPL ทำให้อาจมีโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นต่อตามการปรับตัวของตลาด นอกจากนี้ แม้ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจในครึ่งแรกของปี 52 จะไม่สดใส ราคาพื้นฐานในปัจจุบันก็อยู่ในระดับที่ค่อนข้าง
ต่ำเพียง 1.1x ของค่า PB08 หรือ มากกว่า 20% ต่ำกว่าค่า PB เฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมาในอดีต ดังนั้น คงคำแนะนำ ?ซื้อž โดยมีราคาพื้นฐานที่ 82.00 บาท


* สำหรับหุ้น SCB คาดไตรมาส 4/51 ยังคงเพิ่ม YOY แต่ลดลง QoQ


 SCB จะรายงานกำไรไตรมาส 4/51 ที่ 4.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.9% YoY แต่ลดลง 3.4% QoQ
โดยตัวเลขเพิ่มขึ้น YoY จากความสามารถในการรักษาส่วนต่างดอกเบี้ย YoY รายรับที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยขยายตัวดี และความสามารถในการบริหารค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้ดี โดยตัวเลขลดลง QoQ จากส่วนต่างดอกเบี้ยที่ลดลง เนื่องจากธนาคารฯ ไม่มีเงินปันผลจากกองทุนวายุภักษ์และได้รับผลกระทบเล็กน้อยจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อปลายเดือน พ.ย. รวมถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มตามฤดูกาล ปัจจัยดังที่กล่าวมาแล้วควรทำให้กำไรสุทธิในปี 2551 อยู่ที่ 22.0  พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% YoY หรือคิดเป็น ROE51 ที่ 17.5%


* ตั้งเป้าขยายตัวอย่างระมัดระวัง และการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ที่เข้มงวด


 ในปีนี้ SCB ให้ความสำคัญกับคุณภาพสินทรัพย์และจะเข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อใหม่เพิ่มขึ้น ดังจะเห็นได้จากเป้าการขยายตัวของสินเชื่อใหม่ที่เพียง  4-6% ในปัจจุบัน SCB คาดว่าสำรองจะเพิ่มในปีนี้และน่าจะทำให้ค่าใช้จ่ายสำรองต่อสินเชื่อรวม (credit cost) สูงกว่าตัวเลขในปี 2551 ที่ประมาณ 50-60 bps อย่างไรก็ดี   คาดว่าจะบริหารสัดส่วน NPL ให้อยู่ที่ประมาณ 5-6% ในปี  2551-2552 ในปัจจุบันได้รวมเอา credit cost ไว้สูงถึง 85 bps ต่อสินเชื่อคงค้างในปี 2552  เมื่อพิจารณาถึงการที่ SCB จะระมัดระวังเกี่ยวกับการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น การก่อตัวของ NPL ใหม่ควรอยู่ในระดับที่ควบคุมได้  นอกจากนี้ สินเชื่อยังกระจายตัวไปในธุรกิจต่าง ๆ สูง รวมถึงมีสัดส่วนสินเชื่อเสี่ยง เช่น ในกลุ่มการผลิตและการพาณิชย์ค่อนข้างต่ำ รวมถึงมีสัดส่วนสินเชื่อบ้านและที่อยู่อาศัยสูง ซึ่งมีความเสี่ยงผิดนัดชำระต่ำ 


 ดังนั้นเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่ค่าใช้จ่ายสำรองในปีนี้อาจจะต่ำกว่าประมาณการ ซึ่งก็จะเพิ่ม Upside ต่อประมาณการกำไรในปี 2552 คาดว่ากำไรของ SCB จะลดลง 5% ในปี 2552 เนื่องจากส่วนต่างดอกเบี้ยที่ลดลง รายรับค่าธรรมเนียมและสินเชื่อขยายตัวลดลง   ส่วน ROE ของธนาคารจะยังคงสูงกว่า 15% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่เพียง 11% ทั้งนี้ เชื่อว่าจากนโยบายในการใช้ความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น และระดับสำรองที่อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับ NPL (Coverage Ratio เกือบ 90% เทียบกับกลุ่มที่ 70%) รวมถึง พอร์ทสินเชื่อซึ่งมีความเสี่ยงที่ NPL จะก่อตัวต่ำกว่าธนาคารอื่น ปัจจัยดังกล่าวอาจเพิ่ม Upside ต่อประมาณการกำไรในปี 2552 โดย SCB ยังคงเป็นหุ้นเด่นในกลุ่มฯ และคงแนะนำ ?ซื้อž โดยมีราคาพื้นฐานที่ 65.2 บาทต่อหุ้น

เข้าชม: 1,051

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com