May 10, 2024   3:12:57 PM ICT
บริษัทข้ามชาติแห่ระดมทุนไทย บลจ.หวังไหลเข้ามันนี่มาร์เก็ต

ทันหุ้น-ปีนี้ไทยเนื้อหอมบลจ.อยุธยา ประเมินบริษัทต่างด้าวและบจ.แห่ระดมทุนเพิ่มหลังต้นทุนต่ำอยู่ที่ 6-7%ส่วนต้นทุนต่างประเทศอยู่ที่ 10% บลจ.กสิกรไทยคาดกองตลาดเงินส้มหล่นเพราะความเสี่ยงสดใสกว่า ชี้ปีนี้ไซซ์โตรับเงินกองพันธบัตรเกาหลี 1 แสนล้าน


 นายประภาส  ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)อยุธยา จำกัด AYF เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมกองทุนรวมปีนี้มีแนวโน้มเติบโตขึ้นจากปี 2551 ที่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิปรับลดลง 5%จากปี 2550 ที่มี 1.66 ล้านล้านบาท โดยการปรับเพิ่มขึ้นจะมาจากกองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund) ซึ่งคาดว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากช่วงเศรษฐกิจถดถอย


 “เชื่อว่าความต้องการของนักลงทุนที่จะลงทุนในกองตลาดเงินจะมีสูง โดยคาดว่าจะมีเม็ดเงินจากกองทุนเกาหลีใต้ที่คาดว่าทั้งระบบจะทยอยครบอายุกลางเดือนกุมภาพันธ์หรือต้นเดือนมีนาคมนี้เข้ามาประมาณ 1 แสนล้านบาท จากมูลค่าลงทุนทั้งหมด 2.7 แสนล้านบาท”นายประภาส กล่าว


 นอกจากนี้ เชื่อว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนจากเงินฝากธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้นเนื่องจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง  ซึ่งก่อนสิ้นปีนี้รัฐบาลจะกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายทางการเงิน และคาดว่ากลางปีนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาอยู่ที่ 1.25-1.50%ต่อปี จากปัจจุบัน 2.0% รวมทั้งมีอาจลดลงเหลือ 1.0% หากเศรษฐกิจยังไม่ฟื้น


 ส่วนความกังวลอัตราผลตอบแทนของกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่ลดลง เชื่อว่าธุรกิจกองทุนจะไม่ได้รับผลกระทบเท่ากับช่วงที่ธนาคารพาณิชย์แข่งขันขึ้นดอกเบี้ยอัตราพิเศษเพื่อระดมเงิน ซึ่งช่วงนั้นมีเม็ดเงินไหลเข้าเงินฝากมากกว่า 1 แสนล้านบาท


 นอกจากนี้ กองทุนตลาดเงินจะไม่ได้รับผลกระทบมากนักเมื่อเทียบกับกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น 3-6 เดือนเนื่องจากเป็นกองทุนเปิดที่ซื้อขายได้คล่องตลอดเวลา  จึงมีโอกาสบริหารพอร์ตดีกว่า รวมทั้งสามารถถือยาว และรอรับผลตอบแทนสูงกว่าได้ ขณะที่กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นจะเป็นลักษณะกองทุนปิดที่ล็อกผลตอบแทนไว้ ซึ่งเงินใหม่ที่เข้ามาลงทุนจะได้รับผลแทนลดลง


 “ปีนี้บลจ.ไม่มีความจำเป็นที่จะออกกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นใหม่เพราะผลตอบแทนที่ได้อยู่ที่ 1.3-1.4% ซึ่งใกล้เคียงกองตลาดเงินที่มีผลตอบแทน 1.2-1.5% จึงเชื่อว่าจะเงินจากกองตราสารหนี้ระยะสั้นเข้ามาอยู่กับกองตลาดเงินด้วย”นายประภาส กล่าว


 นายประภาส กล่าวต่อว่า ปีนี้มีแนวโน้มที่บริษัทย่อยต่างประเทศ และบริษัทจดทะเบียน(บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์จะหันมาระดมทุนในไทย โดยออกหุ้นกู้เพิ่มขึ้นเนื่องจากต้นทุนที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่น เช่นสหรัฐ  และประเทศในยุโรป เป็นต้น นอกจากนี้ ไทยเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกถดถอยน้อย ส่งผลให้ความเสี่ยงจากการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลดลงมีต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น


 “บจ.ขนาดใหญ่ เช่น  PTT, ADVANC, SCCC และกลุ่มบริษัทอสังหาบางแห่งจะหันกลับมาระดมทุนในไทยแทนการออกไประดมทุนต่างประเทศเพราะต้นทุนที่ใช้จะถูกกว่า เช่น PTT มีต้นทุนในต่างประเทศประมาณ 10%ขณะที่ต้นทุนไนไทยอยู่ที่ 6-7% คาดว่าจะทำให้ปริมาณหุ้นกู้ในตลาดเพิ่มสูงด้วย” นายประภาสกล่าว


 นายวิน อุดมรัชตะวานิช ผู้จัดการกองทุนฝ่ายกองทุนรวมตราสารหนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่าแม้อัตราผลตอบแทนของหุ้นกู้เอกชนจะสร้างผลตอบแทนดีกว่าพันธบัตรรัฐบาล โดยมีส่วนต่างกันประมาณ 30-50 bps แต่เชื่อว่านักลงทุนจะไม่ค่อยให้ความสนใจมากนักเนื่องจากส่วนใหญ่จะมีอายุระยะยาวตั้งแต่ 5 ปีขึ้น ส่งผลให้ความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราผลตอบแทนสูงกว่า


 นอกจากนี้ ปริมาณหุ้นกู้ในตลาดมีน้อยมากเมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งขณะนี้ตราสารอายุสั้นปรับเพิ่มขึ้นเป็น 1 แสนล้านบาท จากเดิม 1 หมื่นล้านบาทส่งผลให้ความน่าสนใจลดลง ซึ่งส่งผลดีกับกองทุนตลาดเงิน โดยสังเกตว่านักลงทุนจะเข้ามาลงทุนมากขึ้น โดยตั้งแต่ต้นปีบริษัทมีเม็ดเงินใหม่เข้ามา 3-4 พันล้านบาท ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทมีNAV กองทุนตลาดเงินประมาณ 1.2 แสนล้านบาท

เข้าชม: 1,052

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com