ทันหุ้น-บลจ.อเบอร์ดีนงัดผลตอบแทนกองหุ้นปีนี้พุ่ง 6-7% จากปีก่อนอยู่ที่ 5-6% มัดใจนักลงทุน ชูกลยุทธ์เลือกหุ้นเป็นรายตัว เน้นหุ้นปันผลสูง กระแสเงินสดแกร่ง และไม่พึ่งพาเม็ดเงินต่างชาติ ทั้ง PTTEP, SCB, KBANK, ADVANC เล็งเพิ่มน้ำหนักหุ้นกลุ่มพาณิชย์และโรงไฟฟ้า ส่วนกองตราสารหนี้เมินหุ้นกู้เอกชน หวั่นชักดาบชำระหนี้ ลุยพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2-5 ปีเต็มเหนี่ยว
นายอดิเทพ วรรณพฤกษ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)อเบอร์ดีน จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มอัตราผลตอบแทนกองทุนหุ้นของบริษัทปีนี้คาดว่าจะปรับดีขึ้นจากปี 2551 โดยตั้งเป้าอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนหุ้นทุกกองทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 6-7% เพิ่มขึ้นจากปี 2551 ที่บริษัทมีผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนหุ้นอยู่ที่ 5-6%รวมทั้งประเมินว่าตลาดหุ้นไทยปีนี้จะไม่ปรับลดลงรุนแรงเท่ากับปี 2551 ซึ่งลดลงประมาณ 40-50%
“ยิลด์ในระดับ 6-7%อยู่ในระดับที่น่าสนใจ เพราะเป็นการลงทุนในเงินฝากจะอยู่ที่ 1-2% หากเลือกหุ้นดี ราคาถูกเชื่อว่าผลตอบแทนในระดับนี้คงไม่หนีไปไหน รวมทั้งส่วนใหญ่ก็ต้องเลือกหุ้นที่มีเงินปันผลสูงในระดับนี้อยู่แล้ว”นายอดิเทพ กล่าว
ส่วนนโยบายการลงทุนในหุ้นของบริษัทยังคงเน้นความระมัดระวังเหมือนที่ผ่านมา แม้ว่าภาวะตลาดหุ้นไทยจะมีโอกาสปรับลดลงไปได้อีก จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน ขณะที่ราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับลดลงด้วย
ทั้งนี้ภาพรวมการบริหารพอร์ตกองทุนรวมหุ้นปีนี้ บริษัทให้น้ำหนักลงทุนหุ้นกลุ่มที่มีฐานะการเงินและกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะส่งผลให้มีความสามารถจ่ายปันผลสูง โดยบริษัทจะเน้นพิจารณาหุ้นเป็นรายตัวมากกว่าพิจารณาจากมูลค่าตลาดขนาดใหญ่(มาร์เก็ตแคป) “ปีนี้มองว่านักลงทุนจะมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการลงทุนใหม่ โดยเน้นลงทุนระยะยาว 9-10 ปีมากขึ้น จากปัจจุบันที่จะลงทุนในหุ้นระยะสั้นไม่ถึง 1 ปี ซึ่งจะส่งผลดีต่อบริษัทเพราะสอดคล้องกับนโยบายการลงทุนที่จะเน้นถือยาว 4 ปีขึ้นไป ซึ่งที่ผ่านมาจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยหุ้นละ 25%” นายอดิเทพกล่าว นอกจากนี้ กองทุนหุ้นของบริษัทจะลงทุนในหุ้นจำนวนไม่เกิน 30 ตัว ซึ่งแต่ละตัวจะมีสัดส่วนการลงทุนไม่เกิน 10%ของพอร์ต และในแต่ละกลุ่มอุตวสาหกรรมจะมีสัดส่วนไม่เกิน 20-25% ซึ่งปีนี้คงไม่ปรับพอร์ตเพิ่มมากนัก แต่จะใช้โอกาสช่วงที่ราคาปรับลดลงมาเจ้าไปซื้อเพิ่มและเมื่อราคาเพิ่มขึ้นมากก็อาจจะมีการขายทำกำไรไปบ้าง
สำหรับสัดส่วนการลงทุนในปัจจุบันบริษัทจะลงทุนน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มพาณิชย์ โดยเฉพาะ MAKRO และกลุ่มโรงไฟฟ้า เช่น RATCH เป็นต้น รวมทั้งมีแนวโน้มจะพิจารณาเพิ่มสัดส่วนหุ้นกลุ่มสื่อสาร เช่น ADVANC เพิ่มขึ้นด้วยเนื่องจากการดำเนินธุรกิจจะไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกถดถอยรุนแรงเท่ากับกลุ่มธุรกิจที่ต้องพึ่งพาเม็ดเงินจากต่างประเทศ เช่น ส่งออก และท่องเที่ยว
ปัจจุบันบริษัทจะลงทุนในหุ้นสัดส่วนที่สูง โดยถือเงินสดมากสุดไม่เกิน 5%ของพอร์ต เพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุนต้องการลงทุนระยะยาว ซึ่งหุ้นที่ลงทุนจะกระจายเป็นรายตัวมีทั้งขนาดใหญ่ เช่น PTTEP, SCC กลุ่มแบงก์ เช่น KBANK, SCB เป็นต้น ส่วนหุ้นขนาดกลางและเล็ก เช่นกลุ่มพาณิชย์อย่าง BIGC เป็นต้น
นายปีเตอร์ เอลส์ตัน ผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์การลงทุนประจำทวีปเอเชีย กลุ่มบลจ.อเบอร์ดีน กล่าวว่าตลาดหุ้นเอเชีย และไทยมีโอกาสที่จะฟื้นตัวได้เร็วกว่ากลุ่มประเทศตะวันตก เช่น สหรัฐ และยุโรป เนื่องจากจะพื้นฐานเศรษฐกิจจะมีหนี้สินต่ำ ส่งผลให้ปีนี้กลุ่มฯจะให้น้ำหนักลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียเพิ่มขึ้น และลดน้ำหนักการลงทุนในสหรัฐลง
นางสาวเคท หัตถีรัตน์ หัวหน้าฝ่ายตราสารหนี้ บลจ.อเบอร์ดีน จำกัด กล่าวว่า การลงทุนในพันธบัตรบริษัทยังให้ความระมัดระวังลงทุนเช่นกัน โดยเน้นเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุตั้งแต่ 2-5 ปี ที่ยังคงให้ผลตอบแทนที่ดีมากกว่าพันธบัตรระยะยาว แต่ไม่สนใจหุ้นกู้เอกชน และหากลงทุนต้องพิจารณาบริษัทที่มีเรตติ้งสูงเพราะหุ้นกู้เอกชนไทยปีนี้มีความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้สูง
|