April 28, 2024   9:47:33 PM ICT
หุ้นรับเหมาวิ่งแรงยกขบวน ITD-CK-STECเทคนิคเริ่ด

ทันหุ้น-กลุ่มรับเหมาแรงยกทีม รับข่าวดี ครม.จ่อกำหนดกรอบวงเงินกู้ 2 พันล้านดอลลาร์ จากเวิลด์แบงก์,เอดีบีและไจก้า  ต่อยอดสาธารณูปโภคขนาดกลาง  ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ด้านนักวิเคราะห์ฟันธงหุ้นรับเหมารับประโยชน์อื้อทั้งตรง และอ้อม  ลุ้นสายสีม่วง สัญญา 1 รู้ผลมีนาคมนี้  พร้อมชู CK-ITD-STECมีลุ้นคว้างานเพิ่ม และเทคนิคแจ่ม


     ความเคลื่อนไหวราคาหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง(23 มี.ค.)ปรับตัวขึ้นคึกคัก นำโดย ITDปิดที่ 2.18 บาท เพิ่มขึ้น 0.12 บาท หรือ 5.83% มูลค่าการซื้อขาย 243.01 ล้านบาท ส่วน STEC ปิดที่ 3.48 บาท เพิ่มขึ้น 0.16 บาท หรือ 4.82% มูลค่าการซื้อขาย 108.13 ล้านบาท และCK ปิดที่ 3.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.14 บาท หรือ 4.43% มูลค่าการซื้อขาย 47.47 ล้านบาท


     นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  ในการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)วันนี้(24 มี.ค.) ซึ่งวาระการประชุมที่น่าสนใจคือ กรอบการเจรจากู้เงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะมีการกำหนดกรอบวงเงินที่จะขอกู้ประมาณ 2,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 70,000 ล้านบาท มีระยะเวลาการกู้เฉลี่ย 7-10 ปี โดยจะขอกู้จากธนาคารโลก, ธนาคารพัฒนาเอเชีย และองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศญี่ปุ่น(ไจก้า)เพื่อเป็นไปตามนโยบายการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล


*เร่งโครงการขนาดกลาง
 ทั้งนี้ มองว่า นโยบายและมาตรการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งที่ภาครัฐจะใช้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ จึงจำเป็นต้องเร่งผลักดันโครงการลงทุนต่าง ๆ ซึ่งจะส่งผลให้ต้องจัดหาแหล่งเงินลงทุนเพิ่มเติมจากการใช้เงินกู้จากต่างประเทศ โดยเม็ดเงินอีก 70,000 ล้านบาท เชื่อว่าภาครัฐจะนำมาใช้เพื่อพัฒนาโครงการสาธารณูปโภคขนาดกลางควบคู่ไปกับโครงการขนาดใหญ่ เพื่อกระตุ้นและฟื้นฟูภาคเศรษฐกิจของประเทศ


 “โครงการขนาดกลางที่ภาครัฐจะเร่งพัฒนา เช่น ถนน ที่อยู่อาศัย แหล่งน้ำ รวมทั้งพลังงานต่าง ๆ ซึ่งเป็นสาธารณูปโภคขนาดกลางที่เป็นพื้นฐานดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอื่น ๆ ซึ่งกลุ่มที่จะได้รับผลประโยชน์จากมาตรการดังกล่าวทั้งทางตรงและอ้อมนั่นคือ กลุ่มผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้าง” นายเทิดศักดิ์ กล่าว


 นายเทิดศักดิ์ กล่าวอีกว่า กลุ่มรับเหมาก่อสร้างเริ่มมีความสนใจมาตั้งแต่เริ่มมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจจากโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ ซึ่งขณะนี้เริ่มคืบหน้าต่อเนื่อง โดยราคาหุ้นได้รับแรงกระตุ้นจากกระแสข่าวต่าง ๆ ในช่วงที่ผ่านมาเพราะนักลงทุนส่วนใหญ่มองเห็นถึงแนวโน้มระยะยาวของหุ้นกลุ่มดังกล่าวว่าจะสามารถเติบโตได้มีประสิทธิภาพ ทั้งจากเมกะโปรเจ็กต์ และโครงการสาธารณูปโภคขนาดกลาง ซึ่งการันตีแนวโน้มผลงานในอนาคตของกลุ่ม
 อย่างไรก็ตาม มองว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของกลุ่มรับเหมาปี 2552 จะเริ่มฟื้นตัวขึ้นชัดเจน จากต้นทุนการผลิต ทั้งเหล็กและน้ำมันที่ระดับราคาปรับตัวลดลงชัดเจน รวมทั้งแนวโน้มการตั้งสำรองปรับลดลง โดยมองว่าหุ้นกลุ่มรับเหมาที่น่าสนใจ  ได้แก่ CK และ ITD เนื่องจากราคาหุ้นน่าสนใจ รวมทั้งแนวโน้มผลการดำเนินงานมีโอกาสเติบโตได้แข็งแกร่ง


*สีม่วงสัญญา1รู้ผลมี.ค.
     นางสาววิชชุดา ปลั่งมณี ผู้จัดการส่วนวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน จำกัด กล่าวว่า งบประมาณภาครัฐที่ให้การสนับสนุนการพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน หลังประเด็นการเมืองเริ่มคลี่คลาย ทำให้นโยบายภาครัฐชัดเจนยิ่งขึ้น โดยปัจจัยดังกล่าวจะเอื้อประโยชน์ให้กลับกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้าง ทำให้มีโอกาสจากแรงสนับสนุนแหล่งที่มาของเงินทุน และการขับเคลื่อนโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่เป็นนโยบายอันดับต้น ๆ ของภาครัฐ เพื่อหวังช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว รวมทั้งการจ้างงาน


 ทั้งนี้ ยังคาดการผลประกอบการกลุ่มรับเหมาก่อสร้างในไตรมาส 1/2552 จะฟื้นตัวขึ้นได้  หลังราคาเหล็กและน้ำมันปรับลดลง และทรงตัวทำให้ควบคุ้มต้นทุนได้ดีขึ้น พร้อมกับการรับรู้รายได้โครงการใหม่ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น โดยคาดว่าผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างมีโอกาสรับงานเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในอนาคต โดยเฉพาะกลุ่มผู้รับเหมาหลัก ทั้ง ITD, CK และ STEC


 นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคม คาดรัฐบาลจะขับเคลื่อนโครงการรถไฟฟ้าสายสีต่าง ๆ ต่อเนื่อง โดยเริ่มจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง(บางซื่อ-บางใหญ่)ที่มีมูลค่าโครงการรวมทั้ง 3 สัญญา ประมาณ 31,978 ล้านบาท โดยสัญญาที่ 1 คาดว่าจะลงเซ็นสัญญาได้มีนาคมนี้  และก่อสร้างได้ในเดือนพฤษภาคม ส่วนสัญญาที่ 2 คาดว่าจะทราบผลผู้รับเหมาประมาณปลายเดือนมีนาคมนี้ และสัญญาที่ 3 คาดทราบผลผู้รับเหมาในไตรมาส 1/2552


 สำหรับโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (บางซื่อ-ท่าพระ,หัวลำโพง-บางแค) มูลค่าโครงการรวม 52,956 ล้านบาท แบ่งเป็น Civil ประมาณ 46,713 ล้านบาท โดยอยู่ระหว่างพิจารณาเงินกู้จากองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศญี่ปุ่น(ไจก้า) รวมทั้งแหล่งเงินกู้อื่น ๆ เช่น ธนาคารโลก(World Bank) ธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) และกองทุนน้ำมันจากประเทศอังกฤษ ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปไตรมาส 1/2552


 ขณะที่โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม(หมอชิต-สะพานใหม่) และสายสีเขียวอ่อน(แบริ่ง-สมุทรปราการ) ซึ่งมีมูลค่าโครงการรวมประมาณ 64,832 ล้านบาท ทางคณะรัฐมนตรี(ครม.)ให้ทาง กทม. ดูแลเงินทุนคือกู้ภายในประเทศและออกพันธบัตร หรืออาจกู้ยืมจากไจก้า และคาดว่าจะได้ผู้รับเหมาประมาณกลางปี 2552


 “โครงการที่ภาครัฐให้การสนับสนุนต่อเนื่อง ยังรวมไปถึงโครงการในส่วนของ Mass Transit และในส่วนของ Logistic ซึ่งภาครัฐได้อนุมัติงบประมาณเพื่อดำเนินการแล้วประมาณ 9 แสนล้านบาท ซึ่งงบประมาณดังกล่าวเป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่ส่งผลตรงต่อกลุ่มผู้รับเหมาให้มีงานเพิ่มมากขึ้น” นางสาววิชชุดา กล่าว


*บุกงานอินเดีย-ลาว
 นางสาววิชชุดา กล่าวอีกว่า แนวโน้มหุ้นกลุ่มรับเหมายังมีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุนต่อเนื่อง อาทิ การขยายการรับงานไปต่างประเทศ เช่น ประเทศอินเดีย และลาว ที่อยู่ระหว่างพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน รวมทั้งการเมืองเรี่มคลี่คลาย โดยรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะทำให้เมกะโปรเจ็กต์, โครงการรถไฟฟ้า รวมทั้งการพัฒนาด้านสาธารณูปโภคเบื้องต้น เช่น การขนส่ง Logistic มีโอกาสขับเคลื่อน  โดยเฉพาะการได้เงินทุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นหรือไจก้า
 อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยลบที่เข้ามากดดันแนวโน้มการดำเนินงานของผู้ประกอบการกลุ่มรับเหมา ได้แก่ การแข่งขันเสนอราคาเพื่อรับงาน ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถทำกำไรให้ปรับลดลงในอนาคต รวมทั้งราคาน้ำมัน และราคาวัสดุก่อสร้างที่ผันผวนอาจมีผลกระทบต่อการควบคุมต้นทุนการผลิต ในกรณีที่บริษัทมีการรับงานที่มีการก่อสร้างที่ใช้ระยะเวลานาน


 นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ระยะสั้นราคาหุ้นกลุ่มรับเหมามีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง จากปัจจัยเสริมเกี่ยวกับแผนกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ ในโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ และกลาง ทำให้นักลงทุนเริ่มมองเห็นสัญญาณเชิงบวกระยะยาวเกี่ยวกับแนวโน้มผลการดำเนินงานของกลุ่ม

เข้าชม: 1,606

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com