ดัชนีปรับฐานต่อ โบรกมองสัปดาห์นี้ลงถึง 580 จุด ชี้กลางไตรมาส 3 อาจลงลึกหา 500 จุด เหตุเฟดส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย กดดันภาพรวมการลบงทุนและตลาดหุ้น แต่ช่วงสัปดาห์นี้หุ้นลงเหมาะขาลุยเข้าช้อนหุ้นพื้นฐานดี เอเซียพลัส ชู BEC IRP RATCH และ PS เจ๋งสุด ด้าน “ภัทรียา” โปรยข่าวดี ปีนี้ยังลุ้นไอพีโอน้องใหม่อีก 12 บริษัท เริ่มสตาร์ทไตรมาส 3 นี้
นายเทิดศักด์ ทวีธีรธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าทิศทางการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของสัปดาห์นี้ จะเป็นลักษณะการปรับฐานต่อเนื่อง โดยคาดว่าอาจจะลงไปถึง 580 จุด ส่วนกรอบบนน่าจะอยู่ที่ 610 จุด ซึ่งการปรับฐานรอบนี้ไม่ได้มีปัจจัยลบมากระทบ แต่มากจากการที่ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นมาสูงแล้วจึงมีการสร้างฐานใหม่เพื่อให้มีการเริ่มซื้อรอบใหม่
อย่างไรก็ตามนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในช่วงนี้สามารถทำได้ โดยการหาโอกาสเข้าไปซื้อหุ้นที่พื้นฐานดีในช่วงที่ราคาต่ำ โดยแนะนำรอซื้อเมื่ออ่อนตัว BEC เพราะเป็นหุ้นที่มีกระแสเงินสดมาก ส่วนกลุ่มปิโตรเคมี แนะนำ IRP กลุ่มโรงไฟฟ้าแนะนำ RATCH และ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์แนะนำ PS
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO กล่าวว่า ที่ผ่านมาดัชนีหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 200 จุด เพราะสภาพคล่องทางการเงินในตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับสูง เนื่องจากมีเม็ดเงินไหลเข้า และออกตลาดฯ เพื่อเก็งกำไรค่อนข้างเร็ว ด้วยมูลค่าการซื้อขายค่อนข้างสูง ซึ่งคาดว่าภาวะการเคลื่อนไหวทางเม็ดเงินจะยังคงรักษาระดับไปถึงประมาณปลายเดือนกรกฎาคม
ทั้งนี้ ประเมินว่าดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวลดลงแตะระดับ 500 จุดกลางไตรมาส 3/52 เนื่องจากคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจปรับอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันยังไม่มีความพร้อมกับการปรับอัตาดอกเบี้ยดังกล่าว จนอาจประทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในการจับจ่ายใช้สอย เพราะสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อาจต้องถูกปรับขึ้นตาม ทั้งยังมองว่าสถาบันการเงินของสหรัฐฯ และยุโรปยังไม่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ภาพการฟื้นตัวเศรษฐกิจที่เห็นปัจจุบันเกิดจากการอัดฉีดเม็ดเงินโดยรัฐบาลมากกว่าที่จะสามารถฟื้นตัวได้เอง สะท้อนให้เห็นว่าภาวะเศรษฐกิจอาจจะยังไม่ฟื้นตัวอย่างแท้จริง จนกดดันต่อบรรยากาศการลงทุนดังกล่าว
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ในช่วงไตรมาส 3/2552 คาดว่าจะมีหุ้นไอพีโอเข้ามาซื้อขายในตลาดอีกจำนวน 12 บริษัท โดยจำนวนทั้งหมดได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้ว โดยกว่าครึ่งหนึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ใน SET อีกทั้งในปีนี้คาดว่าจะมีบริษัทที่เข้ามาจดทะเบียนในตลาดจำนวนทั้งสิ้น 37 บริษัท ซึ่งเป็นไปตามเป้าเดิมที่มีการปรับลดก่อนหน้านี้ที่ 46 บริษัท
อีกทั้งประเมินว่านับจากช่วงเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ปริมาณการซื้อขายและสภาพคล่องเริ่มกลับมาเพิ่มขึ้นและมีความเพียงพอ ทำให้บริษัทที่จะเข้ามาจดทะเบียนได้ราคาหุ้นที่ดี ซึ่งหากสถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไปเชื่อว่าจะเป็นผลดี แต่ตลาดอาจมีการปรับตัวลงบ้างเป็นไปตามจังหวะ สำหรับแนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลัง ยังคงต้องติดตามดูภาพรวมของเศรษฐกิจและปัญหาสถาบันการเงิน โดยเฉพาะการแก้ปัญหาของสหรัฐฯ ซึ่งหากสามารถลุล่วงไปได้จะส่งผลดีต่อแนวโน้มตลาดหุ้นให้ดีขึ้นตามไปด้วย
| | เข้าชม: 1,571 |
|
