May 19, 2024   1:12:16 AM ICT
บล.กรุงศรีอยุธยา : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 30/04/53
Market Recap and Trend: REBOUND ต่อที่แนวต้าน 760 จุด...ตลาดหุ้นต่างประเทศ
และการปรับประมาณการเศรษฐกิจ ธปท.หนุน
              การปรับประมาณการเศรษฐกิจของ ธปท.ส่งผลให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาในช่วงท้ายตลาด
และทำให้ SET ปิดตลาดปรับสูงขึ้น 0.50% ปิดตลาดที่ 753.20 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย
เบาบาง 13,586 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นสุทธิต่อเนื่อง 1,623 ล้านบาท สำหรับ
แนวโน้ม SET วันนี้ เราคาดหวังการ REBOUND ตามตลาดหุ้นต่างประเทศ และ
การปรับประมาณการเศรษฐกิจขึ้นของ ธปท. โดยตลาดหุ้น Dow Jones ปรับสูงขึ้น 1.1%
จากผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดี และตัวเลขการขอรับสวัสดิการว่างงานที่ปรับ
ลดลง ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศล่าสุด ธปท.ปรับประมาณการการขยายตัวเศรษฐกิจปี 53
เป็น 4.3-5.8% จากภาคธุรกิจส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวดีกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิมมาก
โดยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจใน 1Q53 จะขยายตัวถึง 9% ทีเดียว สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจ
เดือน มี.ค. ที่จะประกาศวันนี้คาดว่าจะแสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น
ภาคการส่งออก การผลิต การบริโภค และการลงทุน อย่างไรก็ตามเราคาดว่าตัวเลขเศรษฐกิจ
เดือน เม.ย.ที่จะประกาศในช่วงปลายเดือนหน้าจะเริ่มเห็นการขยายตัวที่เริ่มชะลอตัวลงเนื่องจาก
ปัญหาทางการเมืองที่ร้อนแรงมากขึ้น

Investment Strategy : เข้า TRADING หุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ และส่งออก...ยังจำกัดพอร์
ตลงทุนระยะกลางที่ 30% ของพอร์ตต่อไป
             แม้เราจะคาดหวังการ REBOUND ของ SET ตามตลาดหุ้นต่างประเทศ และการปรับ
ประมาณการเศรษฐกิจขึ้นของ ธปท.อย่างไรก็ตามเราคงมองว่า SET มีความเสี่ยงจากการ
พักฐานระยะสั้นๆ อยู่ดี ทำให้เราแนะนำนักลงทุนถือหุ้นในสัดส่วน 30% ของพอร์ตต่อเนื่อง
โดยเน้นการถือ/ซื้อ หุ้นในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองน้อย และได้รับผลดี
จากการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก อย่างกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ และสินค้าส่งออก เป็นหลัก...
สำหรับกลุ่มหุ้นเด่นวันนี้ ได้แก่
             PTTCH คาดผลการดำเนินงาน 1Q53 ขยายตัว และเป็นหุ้นที่มีอัตราการขยายตัวของ
กำไรสูงในช่วง 1-2 ปีนี้จากกำลังการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น
             PTTEP กำไร 1Q53 ออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ และราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับสูงจะ
เป็นปัจจัยหนุนกำไรในช่วงที่เหลือของปี
              TUF กำไร 1Q53 ออกมาดีที่ 831 ล้านบาท ได้รับผลกระทบจากการเมืองน้อย

Futures Strategy :
              ถือสถานะ SHORT ต่อเนื่อง โดยคงจุด TRAILING STOP ที่ 530 จุด เหมือน
เมื่อวาน

Recommended Portfolio: พอร์ตจำลองมีอัตราผลตอบแทน -5.5% ดีกว่าอัตราผลทอบแทน
SET ที่ -8.1% (Update วันที่ 19 เม.ย. 53)
              พอร์ตจำลองมีอัตราผลตอบแทน -5.5% ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ในขณะที่ SET มี
อัตราผลตอบแทน -8.1% หรือพอร์ตจำลองมีอัตราผลตอบแทนสูงกว่า SET อยู่ 2.6% ในขณะที่
ถ้าพิจารณาตั้งแต่จัดทำพอร์ตจำลอง (ก.ย. 49) มีอัตราผลตอบแทน +150% ดีกว่าตลาดที่มีอัตรา
ผลตอบแทน +5% อยู่ 137% โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา TUF เป็นหุ้นที่ปรับลดลงน้อยที่สุดหรือ
ปรับลดลง -2.6% …สำหรับสัปดาห์นี้ถือหุ้นทั้ง 4 ตัว ต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน ได้แก่ STANLY
(ได้รับผลดีจากหอุตสาหกรรมรถยนต์ฟื้นตัวและมองว่ามีภูมิต้านทานต่อปัจจัยเสี่ยงทางการเมือง
มาก โดยส่วนหนึ่งเป็นตลาดส่งออก) CPALL (การขยายสาขา และเพิ่มกำไรขั้นต้นส่งผลดีต่อผล
การดำเนินงาน) TUF (คาดผลการดำเนินงานขยายตัวดีต่อเนื่องในปี 2010) และ TICON (ให้
อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง ธุรกิจโรงงานให้เช่าฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจ)

News Comment
STEC : คาดการณ์ Margin ที่สูงใน 1Q53 ผลักดันอัตราเติบโตของกำไรสุทธิ 1Q53 ความเห็น
และคำแนะนำ
                การรับรู้รายได้ใน 1Q53 มีแนวโน้มลดลง 19%YoY มาที่ 2.16 พันล้านบาท หากไม่
นับงานใหม่มูลค่าสูงดังเช่น รถไฟฟ้าสายสีม่วง สัญญาที่ 2 ประมาณ 13 พันล้านบาทซึ่งเริ่มต้น
งานก่อสร้างในช่วงปลาย 1Q53 บริษัทไม่ได้รับงานใหม่เพิ่มขึ้นมากนักในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาใน
ขณะที่บริษัทได้ก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่แล้วเสร็จในปี 52 ดังเช่น ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ
และ Airport Rail Link ดังนั้นรายได้รับรู้ตามความคืบหน้าของงานก่อสร้างใน 1Q53 จึงลดลง
YoY อย่างไรก็ตามแนวโน้มการฟื้นตัวของอัตรากำไรขั้นต้นยังเกิดขึ้นต่อเนื่องใน 1Q53 มาที่
7.9% ซึ่งเป็นผลจากมูลค่างานเพิ่มของงานประกอบ
               โครงสร้าง “LNG Pluto” ที่บริษัทบันทึกเป็นรายได้ใน 1Q53 มีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูง
กว่าค่าเฉลี่ยโครงการอื่นๆของบริษัท ช่วยให้กำไรสุทธิ 1Q53 มีแนวโน้มเติบโต 112%YoY มา
ที่ 101 ล้านบาท แม้ว่าเราคาดการณ์ว่า อัตรากำไรขั้นต้นจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงจะอยู่ใน
ระดับต่ำ 3.5% และกดดันอัตรากำไรขั้นต้นตั้งแต่ 2Q53 ให้ต่ำกว่า 1Q53 แต่โครงการนี้จะเป็น
ปัจจัยหลักสำหรับรายได้ตั้งแต่ 2Q53 เป็นต้นไปและช่วยให้กำไรสุทธิทั้งปี 52 เติบโต 16%
YoY มาที่ 353 ล้านบาท ปัญหาการชุมนุมทางการเมืองจะเป็นปัจจัยลบต่อแนวโน้มการลงทุน
ของภาครัฐซึ่งส่งผลต่อเนื่องมายังแนวโน้มการรับงานใหม่ของผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้าง แต่
ในระยะสั้น การเปิดประมูลงานรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินซึ่งเราคาดว่า STEC จะเป็นหนึ่งในผู้
ประกอบการที่มีแนวโน้มชนะประมูลอย่างน้อย 1 สัญญาจากสัญญาก่อสร้างทั้งหมด 5 สัญญา ซึ่ง
จะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาหุ้น STEC คงคำแนะนำ เก็งกำไร ประเมินมูลค่าพื้นฐาน 6.80 บาท

News in Brief
BOT ธปท.เพิ่มคาดการณ์จีดีพีไทยปี 53 โต 4.3-5.8%, มองส่งออกโตสูง
               ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ปรับเพิ่มประมาณการผลิตภัณฑ์มวลรวมภายใน
ประเทศ(จีดีพี) ปี 53 เป็นขยายตัว 4.3-5.8% จากเดิมคาดการณ์ไว้ขยายตัว 3.3-5.3% เนื่อง
จากเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/52 และไตรมาส 1/53 แข็งแกร่งกว่าที่ประเมินไว้ รวมทั้งการส่ง
ออกยังขยายตัวดีกว่าประมาณการครั้งก่อน ตามเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวชัดเจน ขณะที่การขยายตัว
ของเศรษฐกิจในไตรมาสแรกปีนี้ จะมากกว่า 8% แต่ความไม่สงบทางการเมือง เป็นปัจจัยลบ
ของเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี โดยทำให้แรงส่งทางเศรษฐกิจแผ่วลง ทั้งนี้ ประเมินว่าปัจจัย
การเมือง ทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้ลดลง 0.9% โดยผลกระทบจะเกิดขึ้นมากที่
สุดในไตรมาส 2/53 ก่อนทยอยลดลงในช่วงที่เหลือของปี และกลับเข้าสู่ภาวะปกติในปี 54 ขณะที่
การบริโภคภาคเอกชนแม้ยังสามารถขยายตัวได้ แต่ก็เป็นไปในอัตราที่แผ่วลง เนื่องจากผู้บริโภค
มีความเชื่อมั่นที่น้อยลง ทำให้มีการเลื่อนการบริโภคบางส่วนออกไปก่อน โดยใน 3 ไตรมาสที่
เหลือของปี อัตราการขยายตัวการบริโภคภาคเอกชนไตรมาสต่อไตรมาส ที่ปรับให้เป็นต่อปี เฉลี่ย
อยู่ที่ 2.5% เทียบกับแนวโน้มปกติที่ 5.3% นอกจากนี้ ธปท.ยังคาดการณ์ด้วยว่า มูลค่าการส่ง
ออกในปี 53 จะขยายตัว 25.0-28.0% ขณะที่การนำเข้าขยายตัว 32.0-35.0% แต่ดุลการค้าจะ
เกินดุล 8.0-11.0 พันล้านเหรียญสหรัฐ และดุลบัญชีเดินสะพัด จะเกินดุล 8.5-11.5 พันล้าน
เหรียญสหรัฐ ส่วนการบริโภคภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัว 3.3-5.3% และการลงทุนภาคเอกชน
คาดว่าจะโต 9.5-11.5% สำหรับในปี 54 ซึ่งการประมาณการเศรษฐกิจในครั้งนี้ อยู่บน
สมมติฐานว่าเศรษฐกิจไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องการเมืองนั้น คาดว่าจีดีพีจะโต 3.0-5.0%
โดยมีอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ 2.0-3.0% และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 2.3-4.3% (รอยเตอร์)

PTT คาดกำไร H1/53 ดี,มาร์จิ้นธุรกิจกลั่น-ปิโตรฯอาจอ่อนตัวฉุดกำไร H2
             ผู้บริหาร PTTคาดว่า ทั้งปี 53 บริษัทจะมีรายได้และกำไรสุทธิเติบโตจากปีก่อน ที่มีราย
ได้ 1.59 ล้านล้านบาท และกำไรสุทธิ 5.95 หมื่นล้านบาท พร้อมทั้งวางเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนราย
ได้จากต่างประเทศ เป็นระดับ 20% ภายใน 5 ปี ก่อนขยายเป็น 50% ในช่วง 10 ปีจากนี้ ขณะที่
ผู้บริหารมองว่า การใช้พลังงานในประเทศ ทั้งก๊าซธรรมชาติ,น้ำมัน และไฟฟ้า ขยายตัวตลอดใน
ช่วง 3 เดือนแรกปีนี้ ตามภาวะเศรษฐกิจที่เติบโต แต่ระยะยาวหากสถานการณ์การเมืองที่วุ่นวาย
ยังยืดเยื้อ อาจจะกระทบต่อความต้องการใช้พลังงาน ขณะเดียวกัน สถานการณ์การเมือง รวมถึง
เหตุภูเขาไฟระเบิดในไอซ์แลนด์ ได้ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว ซึ่งอาจจะกระทบต่อความ
ต้องการใช้น้ำมันอากาศยานของไทยด้วย นอกจากนี้ สถานการณ์การเมือง ยังอาจทำให้แผนการ
ออกหุ้นกู้มูลค่าราว 2 หมื่นล้านบาทในครึ่งหลังปีนี้ของปตท. อาจจะเป็นการออกหุ้นกู้ในประเทศ
หลังมีบางสถาบันจัดอันดับเครดิตได้ปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของประเทศ (รอยเตอร์)

PTTAR หวังมาร์จิ้น Q2/52 ยังสูง, ตั้งงบลงทุน 5 ปี มูลค่า $358 ล้าน
             PTTAR คาดไตรมาส 2/53 มาร์จิ้นธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมี จะยังอยู่ในระดับสูงต่อ
เนื่องจากไตรมาสแรก ตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว แม้มาร์จิ้นในเดือนเม.ย.จะอ่อนตัวลงเล็กน้อย
ก็ตาม ขณะที่ผู้บริหารคาดด้วยว่า ปีนี้จะมีผลการดำเนินงานดีต่อเนื่อง หลังตัวเลขเศรษฐกิจของ
สหรัฐบ่งชี้ว่ายังคงมีการฟื้นตัวในหลายรัฐ ส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่นในการอุปโภคและบริโภค
รวมถึงยอดขายรถยนต์ในจีนและอินเดีย ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะที่บริษัทตั้งงบลงทุน 5 ปี
ตั้งแต่ปี 53-57 มูลค่า 358 ล้านดอลลาร์ โดยในปีนี้จะเป็นปีที่ลงทุนมากสุดที่ 205 ล้านดอลลาร์
(รอยเตอร์)

SSI ตั้งเป้ายอดขายปีนี้เพิ่มเป็น 5 หมื่นล้านบาท ,ผลิตเหล็ก 2.7 ล้านตัน
            SSI ตั้งเป้าหมายยอดขายปีนี้เพิ่มเป็น 5 หมื่นล้านบาท ตามเป้าหมายการผลิตเหล็กที่
2.7 ล้านตัน หลังความต้องการใช้ที่ฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจ ขณะที่ผู้บริหารมอง ภาวะ
อุตสาหกรรมเหล็กโลกและภายในประเทศนั้นกำลังฟื้นตัวจากปริมาณความต้องการบริโภคที่เพิ่ม
มากขึ้น ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเริ่มกลับมา การเติบโตของอุตสาหกรรมต่อเนื่องทั้ง
อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมพลังงาน โดยอุตสาหกรรมเหล่านี้มีความต้องการใช้
เหล็กแผ่นที่มีคุณภาพพิเศษเป็นวัตถุดิบในการผลิต ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดสินค้าเหล็กแผ่นชั้น
คุณภาพพิเศษของบริษัทให้เติบโตตามไปด้วยส่วนราคาเหล็กมีแนวโน้มสูงขึ้น จากการลดกำลัง
การผลิตของผู้ผลิตเหล็กทั่วโลกและราคาสินแร่เหล็กและถ่านโค้กที่สูงขึ้น (รอยเตอร์) 
เข้าชม: 1,047

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com